ความสมดุลที่เกิดจากบาดแผลของ “โจ๊ก So Cool”

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเพลงยุค 2000 หลายคนที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน คงจำกันได้ว่ามีวงดนตรีร็อกที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายวงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวง Clash, AB Normal, Big Ass และหนึ่งในวงที่ดูคาแรกเตอร์ชัดสุดๆ คือวง So Cool เพราะนอกจากเพลงจะมีคาแรกเตอร์เด่นๆ ที่เรายังจำกันได้มาจนวันนี้ เช่น เลี้ยงส่ง ซากอ้อย ย้อมใจ ฯลฯ นักร้องนำของวงอย่าง โจ๊ก So Cool (กรภพ จันทร์เจริญ) ยังโดดเด่นทั้งเสียงร้อง ฝีไม้ลายมือทางด้านดนตรี และสามารถเอาดีทางการแสดงสายฮาได้อีกด้วย

ล่าสุดเขากำลังมีผลงาน ‘ออฟฟิศติดฮา’ ซิทคอมเรื่องแรกของ WeTV ORIGINAL ที่แสดงร่วมกับเพื่อนๆ กลุ่มคนอารมณ์ดีอย่างว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์, ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง, ซาร่า-นลิน โฮเลอร์ ฯลฯ มาให้ได้ชมกันแบบส่งท้ายปลายปี 2564 วันนี้เราไม่ได้คุยกับโจ๊กในฐานะผู้ชายที่ขายความสุข และสร้างเสียงหัวเราะเท่านั้น แต่ยังชวนโจ๊กเล่าถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตตลอด 16 ปีในวงการบันเทิงอีกด้วย

อดีตเคย (อีโก้) แรง

ตอนวัยรุ่นผมมีอีโก้สูงมากครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมจะต้องดัง ต้องแต่งเพลงเอง ต้องมีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งทั่วประเทศ ต้องเป็นนักร้องแกรมมี่เท่านั้น และจะต้องประสบความสำเร็จ ไม่มีแผนสอง ไม่ตั้งใจเรียนด้วย ปรากฏว่าทำได้ ลองคิดดูว่าจากเด็กที่ไม่มีอะไร อยู่ดีๆ มีเลย เวลาเดินเข้าร้านกีตาร์ ชี้บอกเลยว่าอยากได้ตัวไหน  อยากซื้อของอะไร ซื้อได้ มีคนมาห้อมล้อม งานเพลงบางปีผมออกอัลบั้ม 2 ชุด แต่เรากลับไม่รู้สึกพอกับความสำเร็จ ดังแล้วต้องดังอีก ชีวิตผมหวือหวาอยู่ไม่กี่ปี อยู่ดีๆ ไม่เข้าล็อก ไม่มีงาน ไม่มีคอนเสิร์ต จากเพลงที่ออกมาแล้วดัง กลายเป็น เพลงไม่ฮิต ค่ายดูแลไม่ไหว เขาบอกว่าอาจต้องกลับบ้าน และบอกเราว่าตอนนี้ขาดทุนกี่แสนแล้ว ชี้และกางตารางให้ดู

เวลาตกแรง มันเจ็บหนักมาก รับไม่ได้  สูงสุดจะลงล่างสุดแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุแค่ 20 ต้นๆ เอง ผมจิตตกหนักแล้วก็ทุกข์กว่าคนที่ไม่มีอีโก้ นี่คือสิ่งที่ได้เรียนรู้ว่าถึงแม้อีโก้สูงจะเป็นไฟและแรงขับเคลื่อนที่ดีจนส่งเราถึงจุดที่ตั้งใจ แต่มันก็แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น เพราะเวลาต่อมามันก็กลับมาเผาใจเราเอง กว่าจะผ่านมาได้ก็ลองผิดลองถูกมาเยอะครับ ซึ่งมาถึงวันนี้อีโก้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เรียกว่าคนละคนเลย ตอนนี้ผมทำงานตามความเป็นจริง เช่น ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ เราต้องวางแผน เช่น แต่งเพลง เล่นหนัง เล่นละครเรื่องนี้ดีไหม แต่ก็ไม่ตั้งเป้าว่าต้องได้ และถ้าไม่ได้ก็อาจมีคำถามว่าทำไมนะ แต่เดี๋ยวเอาใหม่ครับ

สุดโต่งในเรื่องพระธรรม นักเลงเอาปืนมาจ่อหัวก็ไม่กลัว

ประมาณช่วงอายุ 22 ตอนที่ผมทุกข์มากๆ เพราะชื่อเสียงและเพลงไม่ดังเหมือนเดิม ผมก็โทรไปหาเพื่อนที่ชอบทำบุญ ปรึกษาว่าทำยังไงดี ชีวิตไม่ดีเลย เขาก็บอกว่า เข้าพรรษาสัก 3 เดือนสิ คือผมเป็นคนดื่มเหล้าทุกวัน สูบบุหรี่ด้วย ไม่ได้ทำบุญอะไร แต่พอเพื่อนชวนก็ลองไม่ดื่มเหล้า อยู่ในศีล 5 เป็นเวลา 3 เดือน ไม่ได้ไปบวชอะไร พอฟุ้งซ่านก็ไปซื้อหนังสือพระมาอ่าน ซึ่งก็ไปเจอเล่มที่อ่านแล้วทำให้อยากรู้ขึ้นมาเลยว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ คนทำบาปแล้วเป็นแบบนี้ ทำบุญแล้วเป็นแบบนี้เหรอ จากที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย คราวนี้อินหนักเลย เอะอะเข้าวัด นั่งสมาธิในป่า เวลาไปคอนเสิร์ตก็จะแวะวัด ไหว้ ขอพร และไม่กลัวตายเลยนะครับ

ผมเคยไปกินอาหารในร้านแห่งหนึ่งแล้วเจออันธพาลเข้ามาจะขู่ยิง ผมนี่นั่งนิ่งเลย เพราะว่าอ่านมาแล้วว่าเรื่องความตายถูกกำหนดมาแล้ว พอเขาเห็นเรานิ่งก็ไม่กล้าทำแล้วก็กลับไป หรือตอนที่กระเป๋าหายบนเครื่องบินก็ไม่สนใจ หัวเราะ คล้ายๆ คนป่วย จนวันหนึ่งไปประชุมแกรมมี่ เขาก็บอกว่าให้ลองอีกเพลงหนึ่งนะ ผมก็ไปบอกว่า ถ้าไม่ดัง ผมขอกลับบ้านนะครับ เพื่อนในวงก็ตกใจ เฮ้ย เป็นอะไรอ่ะ! ไปออกรายการก็ไม่ตลก เล่นมุกไม่ได้ คนอื่นก็ห่วงเรา เขาบอกว่าโจ๊กไม่เหมือนเดิม ไม่ตลก แต่ผมกลับรู้สึกปกติ

หลังจากรักษาศีลครบ 3 เดือน ปรากฎว่าเพลงกลับมาดังอีกครั้ง ประมาณอัลบั้มที่ 6 เพลง เหตุผลที่ไม่อยากเป็นเพื่อนเธอ เพลงนี้กลับมาขึ้นอันดับหนึ่งทั่วประเทศ แล้วก็กลับไปทัวร์คอนเสิร์ตเหมือนเดิม ตอนนั้นเราคนที่เกือบจะเป็นคนเดิมก็กลับมา (หัวเราะ) แต่ไม่ดื่มหนัก หรือไปสุดเท่าเดิม เพราะพระธรรมดึงไว้แล้ว มันละอายครับ ย้อนมองกลับไป ตอนนั้นเป็นเพราะเราไม่เข้าใจ เอฟเฟ็กต์มันแรง ยามันใหม่กับคนที่อินมาก ควบคุมไม่ได้เลยไปสุดโต่ง คนรอบตัวเริ่มอึดอัด เขาจะกินข้าว ดื่มเบียร์กันต่อ บรรยากาศต่างจังหวัดตอนเลิกงาน แต่เรากลับบอก เดี๋ยวจะไปไหว้พระ ทีมงานเขาก็รู้สึกไม่ไหว เขามองว่าผมเป็นอะไร (หัวเราะ) แล้วก็เป็นอย่างนั้นจนออกมาจาก So Cool แล้วก็ค่อยๆ เอาธรรมะมาปรับใช้อย่างพอเหมาะ

ความสมดุลที่เกิดจากบาดแผล

กว่าจะจัดการตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ก็เจ็บไป เจ็บมาล่ะครับ ความสมดุลเกิดจากบาดแผลของชีวิต เวลาประสบความสำเร็จในชีวิต เราไม่ต้องการปรับตัวอะไร เพราะไม่ต้องทำอะไรก็มีความสุข แต่พอเริ่มมีความทุกข์จากปัญหา ไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว ก็ไปหาธรรมะ (หัวเราะ) ชีวิตก็จะวูบวาบแบบนี้ เดี๋ยวปฏิบัติ เดี๋ยวเกเร เดี๋ยวรู้สึกผิดว่าทำบาป พอทุกข์ก็ไปหาพระ พอสุขก็ไปหาเหล้า เหวี่ยงไป เหวี่ยงมาจนเราเจอตรงกลางว่าทำแค่ไหนถึงจะพอดีกับเรา ต้องไปแค่ไหน เพราะเวลาผมอ่านหนังสือพระหนักๆ ผมเล่นมุกไม่ได้ ส่งผลกระทบต่องาน เลยต้องสวิตช์ตัวเอง คือตอนทำบุญ สวดมนต์ ภาวนา จิตใจสงบ จัดดอกไม้ เราก็ทำเต็มที่ พออยู่กับลูกก็เป็นคุณพ่อ พอไปทำงานก็สนุกสนาน เล่นมุก แต่เรื่องบริหารตัวเองในโหมดต่างๆ ยากมากนะครับ พอถึงตอนนี้ก็พอไหว แต่ก็ไม่สามารถตลกได้หมดจดเท่าสมัยวัยรุ่นแล้วนะครับ

ปลดล็อกความทุกข์ด้วยการทำเพื่อคนอื่น

ถ้าใครที่รู้สึกว่าทำให้คนอื่นแล้วมีความสุข คุณโชคดีมาก ชีวิตคุณจะรอดพ้นจากทุกปัญหา อย่างตอนที่ผมคบกับแฟนใหม่ๆ เราทะเลาะกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคนนี้อยากได้อันนั้น คนนั้นก็อยากได้อันนี้ หาตรงกลางกัน แต่ความจริงชีวิตคู่หรือครอบครัวไม่มีตรงกลางหรอกครับ ดังนั้นยิ่งครอบครัวไหนอยากให้คนในครอบครัวมีความสุข ครอบครัวนั้นน่าอิจฉามาก ผมเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ผมยอมตัดทุกอย่าง

วันหนึ่งผมคิดอะไรได้ก็ไม่รู้ครับ ผมไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง แล้วก็อยู่กับเท่าที่มี เช่น แฟนไม่ชอบให้ดื่มเหล้า ก็ไม่ดื่ม จบ ไม่ชอบให้สูบบุหรี่ ก็เลิกบุหรี่ เขาอยากให้มีเวลากับครอบครัวเยอะๆ ผมทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ดูแลครอบครัวเลย คือสุดโต่งนะครับ ไม่ต้องทำแบบผมหรอก แต่ผมเลือกที่จะให้หมดเลย

อะไรก็ตามที่ทำให้ลูก ให้ครอบครัว ทำให้ส่วนร่วมมีความสุข หรือแม้แต่ในบริษัท ทำให้พนักงานมีเงินเดือนมากขึ้น หรือได้มีโอกาสลาพักผ่อน ฯลฯ  ผมทำให้หมดและทำให้กลายเป็นคนที่ไม่มีปัญหาอะไรในชีวิตเลย เพราะมีความสุขที่ภรรยาอารมณ์ดี ลูกไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหา คนรอบตัวมีรอยยิ้ม โดยที่เราเสียสละอะไรบางอย่างออกไป

ในวันที่ผมมีกีตาร์หลายตัว มีอัลบั้ม มีเพลงฮิตติดชาร์ตอันดับหนึ่ง ถือเงินสด ผมมีความทุกข์มาก มีกิเลสเยอะ มีความผิดหวัง มีตัวตน อยากได้นู่น นี่ เพลงไม่ฮิต ทุกข์ คนมาเอากีตาร์ไป ไม่คืน ทุกข์ ลูกน้องทำงานไม่ดี โกรธ แต่พอวันนี้มีครอบครัว และเราให้เขาหมด ไม่เหลืออะไรเลย ผมกลับกลายเป็นคนที่มีความสุขคนหนึ่งเลยครับ

โหมดตลกอยู่ที่ช่วงเวลา

ผมว่าตัวเองเป็นตลกนะ ยิ่งอยู่กับเพื่อนผมตลกมากครับ แต่ถ้าไปเจอผมที่บ้านก็จะเจอผมที่เป็นพ่อคนหนึ่ง นิ่งๆ ไม่เล่นมุก ทำงานบ้าน (หัวเราะ) บ้านผมจะอยู่ใกล้กับบริษัทของพ่อตา ซึ่งมีคนงาน มีแม่บ้าน แต่ภรรยาผมไม่ชอบแบบที่มีคนอื่นมาอยู่เยอะๆ พอดีบ้านที่ยังอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ใหญ่มาก เราก็เลยช่วยทำงานบ้านด้วย ดังนั้นเวลาอยู่บ้าน เวลามันไม่เหลือ ถ้าไปเจอผมที่บ้านก็จะไม่ตลก หรืออย่างไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ แต่เพิ่งโดนภรรยาต่อว่ามา เขาก็บอกว่าตัวจริงไม่เห็นตลกเลย เรื่องนี้ไม่ใช่เข้าใจผมผิดหรอกแต่ผมว่าคนเหล่านั้นเข้าใจตลกทั้งประเทศผิด จริงๆ เราก็เฮฮาล่ะครับ แต่อาจเจอกันผิดที่ ผิดเวลา (แต่ตอนออกอัลบั้ม หรือเล่นคอนเสิร์ตโจ๊กดูไม่ตลกนะ) ผมมีเชื้อตลกอยู่ครับ ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนทะเล้น เล่าเรื่องตลกเก่ง แต่ไม่ชัดว่าเป็นคนตลกนะ แต่พอมาถึงตอนที่เขาให้ทำก็ไม่ได้ฝืนมาก แล้วก็ไม่ได้อยากจะเป็น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้าน มันเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งไปหมด ให้ทำก็ทำได้ จริงๆ เราอยากเป็นนักร้องธรรมดา ชุดแรกๆ ตอนไปให้สัมภาษณ์ก็ไม่ตลก ขรึมเลย แต่มิวสิกวิดีโอตลก คืออะไร (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เรื่องตลกนี่สบายและเป็นธรรมชาติของผมไปแล้วครับ อย่างเรื่องล่าสุดออฟฟิศติดฮา ผมรับบทเป็นอ๊อด ครีเอทีฟอารมณ์ดี มีความหลงตัวเองหน่อยๆ ซึ่งผมบอกเลยว่าแค่รู้ว่ามีใครแสดงบ้างเราก็ตกลงแล้ว ส่วนบทนี่เป็นบทที่ผมถนัดอยู่แล้วครับ

พ่อที่ดูแลจิตใจลูกและสามีที่สปอยล์ภรรยา

ผมไม่รู้หรอกครับว่าลูกส่งการบ้านหรือยัง แต่ผมดูแลจิตใจลูกเต็มที่มากว่าเขามีความสุขไหม วันนี้ทำไมไม่ยิ้ม วันนี้สุขภาพจิตเป็นยังไงบ้าง เขาอยากโตขึ้นมาเป็นคนดีไหม เชื่อเรื่องการทำดีไหม ดังนั้นลูกของผมจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดีมาก ส่วนบทบาทสามี ผมเป็นสามีที่สปอยล์ภรรยา จริงๆ แล้วผมอารมณ์ร้อนนะ ชอบเถียงกัน ชอบต่อว่ากัน แต่ถ้าเขาอยากได้อะไรให้หมด ให้เขาเป็นคนตัดสินชีวิตเลย วันนี้อยากกินอะไร พรุ่งนี้อยากได้อะไรจัดไป

สอนลูกว่าต้องฟังเสียงคนอื่น อย่าหูดับ

ผมจะบอกยี่หวาเรื่อยๆ ครับ หลักๆ จะบอกให้เขาดีต่อคนอื่น เพราะเป็นห่วงมากที่สุดก็คือความไม่เหมือนใครของคนมีชื่อเสียง โดนสปอยล์ วันนี้อาจยังว่าง่าย แต่วันหนึ่งพอมีคนมาเอาใจก็อาจจะเลยเถิด เลยต้องคอยเตือนเขาในเรื่องนี้ว่า วันหนึ่งต้องฟังเสียงคนอื่นนะลูก อย่าหูดับ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน คุยง่าย ทำงานง่าย นี่เป็นพื้นฐานที่ไม่มีในอาชีพอื่น แต่เป็นเรื่องพื้นฐานที่จะต้องสอนของคนที่จะมาเป็นคนในวงการ เพราะมันเสี่ยงเหลือเกิน เราต่างเป็นกันไม่มากก็น้อย ขนาดผมว่าตัวเองง่ายแล้ว ดีแล้ว แต่ก็เป็นอยู่นิดๆ ที่บางทีใช้พาวเวอร์ตรงนั้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แล้วตอนนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว ชื่อเสียงอาจยังไม่ดัง เลยต้องเบรกไว้ก่อน เพราะตอนนี้เริ่มมีคนมาขอเขาถ่ายรูป เริ่มมีตัวตนแล้ว

โจ๊กกับสิ่งที่อยากทำและไม่อยากทำ

สิ่งที่ผมอยากทำแต่ทำไม่ได้คือ ผมอยากเปิดร้านอาหาร แต่ก็รู้ว่าชีวิตจะจบตรงนั้นเลยครับ เพราะว่าผมจะอยากอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ไปเปิดคาเฟ่ในที่ที่มีต้นไม้เยอะๆ สักที่หนึ่ง ทำอาหาร มีเมนูที่ตัวเองชอบ ดูแลลูกค้า แล้วก็เป็นคนแก่เฝ้าร้านไปจนตายไปหรืออาจจะไปบวชตอนแก่อะไรก็ว่าไป แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมทำไม่ได้ เพราะแค่ให้เวลากับครอบครัว 24 ชั่วโมง บางทียังไม่พอ ส่วนสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ยังทำอยู่คือ ผมไม่อยากออกทีวีแล้ว เพราะเวลาแต่งหน้าก็เห็นว่าหน้าเราเหี่ยวลง รู้สึกว่าเราต้องทำแบบนี้จนถึงอายุเท่าไหร่ ถ้าไม่มีครอบครัวผมว่าตัวเองน่าจะออกจากวงการแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวล การที่เราได้ดูแลครอบครัวแบบนี้ก็ทำให้ผมมีความสุขดีนะครับ เรื่องความอยากเปิดร้านอาหารเลยต้องพักไว้ก่อน แล้วเราก็ทำหน้างานในโหมดของเราให้ดีที่สุด เล่ามานี่ไม่ได้เจ็บปวด เสียใจอะไรเลย เพราะผมก็มีความสุขและโอเคกับชีวิตตัวเองดีนะครับ

นายแบบ: กรภพ จันทร์เจริญ

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน, กาซาลอง คำจริง

ติดตามเรื่องราวของ “Someonestoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%