มิว ศุภศิษฏ์ การเรียน “รู้” และ “ไม่รู้” เพื่อตัวเองที่ดีกว่า

ส่งท้ายปลายปี 2563 กับการพูดคุยกับ มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ นักร้อง นักแสดงหนุ่มที่มาแรงสุดๆ คนหนึ่งในพ.ศ.นี้ มิวเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยแพสชั่น เรียกได้ว่าเขาไม่เคยหยุดคิดและหยุดพัฒนาตัวเอง นั่นจึงทำให้เราเห็นพัฒนาการของมิวแบบก้าวกระโดดในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา

วันนี้ มิวมีทั้งผลงานซีรีส์, เป็น 1 ในนักแสดงซิตคอมเรื่องหกฉากครับจารย์, ผลงานเพลง 2 ซิงเกิล, เปิดบริษัท MewSuppasit Studio, เปิดโปรเจ็กต์ซีรีส์น้ำดี 2 โปรเจ็กต์ ซึ่ง Aquarium Man หนึ่งในผลงานที่กำลังผลิตอยู่ มิวนั่งแท่นเป็นทั้งนักแสดงและโปรดิวเซอร์ ไม่นับรวมถึงการถ่ายแบบ ออกรายการ ออกอีเวนต์ที่บางวันมากถึง 10 งาน! รวมไปถึงเรื่องเรียนที่เขากำลังเตรียมทำด็อกเตอร์ด้านวิศวกรรมอยู่อีกหนึ่งเรื่องด้วย

ไม่เหนื่อยเหรอ? เราแอบสงสัย แต่เมื่อถามมิว เขาก็ตอบว่านี่คือความสนุกสำหรับเขา “ผมว่าถ้าเรายังไม่หยุดเรียนรู้ เราจะสามารถเป็นอะไรก็ได้ เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ตลอด สุดท้ายแล้ว แม้วันหนึ่งร่างกายเราจะไม่เอื้ออำนวย แต่ความรู้ยังติดตัวเราตลอดเวลา” นอกจากนี้ มิวยังบอกว่านี่คือการตอบแทนแฟนๆ ที่ดีที่สุดในแบบของเขา นั่นก็คือทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ แถมยังส่งผลดีให้กับตัวเองด้วย “ความท้าทายที่สุดของผมคือต้องเป็นคนที่เก่งกว่าตัวเองในเมื่อวานนี้ครับ” มิวพูดกับ someonestory.co ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข

ผู้ชายเจ้าแผนการ

“ผมเป็นคนที่ชอบวางแผนมากในทุกๆ เรื่องเลยนะครับ แต่เรื่องสำคัญๆ ที่ต้องวางแผนคือเรื่องการเงิน เวลา เพราะถ้ามองดีๆ เหล่านี้คือทรัพยากรอย่างหนึ่งในชีวิตเราด้วย ผมจะวางแผนตั้งแต่ภาพรวมและค่อยๆ ลงรายละเอียดแบบแคบเข้ามา ตอนนี้จากวางแผนแบบรายเดือน ค่อยๆ ย่อยลงมาเป็นรายอาทิตย์ รายวัน และรายชั่วโมง พอทำแบบนี้ได้ ล่าสุดเมื่อ 2-3 วันก่อน ผมวิ่งทำงานได้ประมาณ 10 งานเลยนะครับ”

สร้างผลงานแทนคำขอบคุณแฟนๆ

“ผมอยากตอบแทนแฟนๆ ด้วยการผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาให้พวกเขาได้ชม ได้ฟังกันครับ ทั้งในบทบาทนักแสดง ผลงานเรื่อง TharnType the Series SS2 (7 Years of Love) ที่เพิ่งจบไปไม่นาน รวมถึงซิงเกิล ตอนนี้ก็มี 2 ซิงเกิลแล้ว คือ Season Of You (ทุกฤดู), NAN NA (นั้นนา) และกำลังจะมีซิงเกิลที่ 3 เร็วๆ นี้ ล่าสุดกับบทบาทโปรดิวเซอร์ก็อยากจะทำให้ผลงานออกมาให้มีคุณภาพ สนุก และได้ข้อคิดครับ อย่างในเรื่อง Aquarium Man ผมอยากนำเสนอเรื่องความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ รวมถึงจริยธรรมและสิ่งแวดล้อมด้วยครับ ผมอยากทำซีรีส์แนวนี้เพราะสังเกตว่าบ้านเราไม่ค่อยทำเรื่องแนวนี้สักเท่าไหร่ อีกอย่างที่ผ่านมาผมได้เรียนคอนเทนต์เรื่อง Soft Power ด้วยครับ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ซึ่งซีรีส์หลายประเทศก็ส่งเรื่อง Soft Power ออกมาเพื่อโชว์วัฒนธรรม ความน่าสนใจของประเทศนั้นๆ ผมเองมองว่าบ้านเราก็มีศักยภาพ เลยอยากนำเสนอผลงานชิ้นนี้ให้กับผู้ชมและแฟนๆ ของผมที่มีอยู่ทั่วโลกให้ได้เห็น ได้รู้จัก ส่วนซีรีส์อีกเรื่องที่ผมจะทำในปีหน้า เราเน้นเรื่องเมืองรองของประเทศไทย ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดรายได้ในประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วยครับ”

เปลี่ยนคำสบประมาทเป็นความท้าทาย

“ผมรู้สึกว่าเราต่างมีความฝัน แล้วก็จินตนาการว่าถ้าเราไปถึงฝันต้องดีมากๆ แต่ความจริง เราไม่มีทางรู้เลยว่าก่อนจะไปถึงฝันจะเป็นอย่างไร เลยมองว่าระหว่างทางของการเดินทาง เราต้องเก็บเกี่ยวความสุข ทุกๆ วันมันต้องดีด้วย จะได้รู้สึกดีตลอดทาง คิดว่าถ้าไม่เซ็ตตัวเองไว้อย่างนี้ กว่าจะถึงฝัน เราคงทุกข์ทรมานทีเดียว สำหรับตัวผมเอง ระหว่างทางก่อนจะถึงวันนี้ ก็เรียกได้ว่ายาก มันมีหลายอย่างต้องก้าวข้ามผ่าน มีอุปสรรคเกิดขึ้นมากมาย ทั้งตัวเราเองและปัจจัยภายนอก จะมีคนคอยบอกว่าผมไม่เก่งพอ อายุเยอะไปหรือเปล่า ไม่เหมาะสมกับงานหรือเปล่า เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นตลอดครับ แต่สุดท้ายแล้วผมคือคนที่เลือกว่าจะเอาคำพูดเหล่านี้มาบั่นทอนตัวเรา หรือเลือกที่จะมองข้ามคำพูดพวกนั้น แล้วก้าวเดินต่อไปอย่างมีความสุข และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะโยนคำพูดเหล่านั้นทิ้งแล้วทำตามความฝันของผม ผมรู้สึกว่าความท้าทายของผมคือเราต้องเก่งกว่าเมื่อวาน เราทำเต็มที่ทุกวัน แล้วเราก็ไม่สามารถเทียบกับใครได้ เพราะแต่ละคนเติบโตมาด้วยประสบการณ์ การเลี้ยงดู ครอบครัวที่ต่างกัน ไม่มีองค์ประกอบไหนจะวัดได้ว่าใครดีกว่าใคร สุดท้ายคนที่เราวัดได้มีเพียงแค่ตัวเอง เช่น เราเก่งกว่าตัวเองเมื่อวานหรือเปล่า หรือเราอ่อนกว่าเดิม ย่ำอยู่กับที่ไหม ซึ่งถ้าเราเรียนรู้มากเท่าไหร่ ยังไงเราก็เก่งกว่าตัวเองคนเมื่อวานนี้ได้แน่นอน”     

ชอปเปอร์ปลดล็อกการแสดง

“การที่เรียนวิศวะจะเน้นหนักในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้จินตนาการเราหายไป ส่งผลให้ช่วงเข้าคลาสแอ็กติ้งคือผมเล่นไม่ได้ครับ เพราะผมไม่เชื่อ มันจะมีความคิดบางอย่างตัดเราตลอด สมมติว่าต้องแสดงความรู้สึกว่าคุณแม่ป่วย ผมก็ไม่อิน เพราะแม่ก็สบายดี ตอนนั้นชอปเปอร์คือน้องหมาที่มาช่วยผม ผมได้เขามาจากฟาร์ม เลี้ยงและดูแลชอปเปอร์เหมือนเป็นน้องของผมจริงๆ ทำให้เกิดความรักที่จับต้องได้ ทำให้ผมเริ่มใช้ความรู้สึกได้มากขึ้น พอเข้าฉากที่ต้องร้องไห้ แล้วผมนึกถึงชอปเปอร์ปุ๊บ ผมร้องไห้ได้เลย พอเราเริ่มปลดล็อกเรื่องนี้ได้แล้ว การแสดงของผมก็ค่อยๆ ดีขึ้นครับ”

กอด” ปลดล็อกช่องว่างในครอบครัว

“เมื่อก่อนครอบครัวเราแสดงความรักต่อกันน้อยมากครับ เพราะเราเติบโตขึ้นมาด้วยการเว้นระยะอะไรบางอย่าง แต่พอได้ไปเรียนการแสดง แล้วมีคุณครูท่านหนึ่งแนะนำว่า “ถ้าเราได้กอดกัน เราจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น” เพราะบางทีการพูดกัน เราอาจไม่ได้รู้สึกตรงไปตรงมาขนาดนั้น แต่การสัมผัส หรือประสาทสัมผัสมันคือสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นจากร่างกายที่บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมได้ การกอดจึงทำให้เราเข้าใจคนที่เรากอดว่าเขารู้สึกอย่างไร ตอนแรกๆ ที่ลองกอดคนที่บ้าน ผมก็เขินๆ รู้สึกแปลกๆ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่พอได้ลองทำแล้วรู้สึกว่าไม่ยากเลย แค่ผมบอกแม่ว่า ขอกอดหน่อยนะม้า แล้วเดินไปกอด มันง่ายนิดเดียวจริงๆ แล้วสิ่งที่แปลกไปเลยหลังจากที่เรากอดกันคือเราบอกรักกันมากขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราบอกรักกันน้อยมากครับ ตอนนี้เรากอดกันได้ตลอด บอกรักกันได้ตลอด พอรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการกำลังใจ ก็จะบอกรักกันครับ”

เรียนเพื่อครอบครัว ทำงานเพื่อตัวเอง

“ตอนทำงานในวงการบันเทิง คนในครอบครัวอย่างคุณแม่จะค่อนข้างเข้าใจครับ แต่คุณพ่อนี่ไม่ค่อยสนับสนุน เขาอยากให้ตั้งใจเรียนก่อน แต่ผมก็อยากทำงานในวงการบันเทิงไปด้วย เรียนไปด้วย เลยคิดถึงคำว่า “ตั้งใจเรียนก่อน” ของคุณพ่อขึ้นมาว่าต้องมีอะไร ผมก็เลยตั้งใจเรียน สอบให้ได้ A ให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการบอกให้พ่อรู้ว่า เราดูแลทั้งสองอย่างได้นะ และที่เลือกเรียนวิศวะเพราะว่าอาม่าของผมให้ผมเลือกเรียนแค่ 2 อย่างคือหมอกับวิศวะ ผมเลยเลือกเรียนวิศวะครับ เพราะว่าใช้เวลาเรียนน้อยกว่าเรียนหมอ แต่ไปๆ มาๆ พอเรียนมาถึงตอนนี้ก็ใช้เวลา 8 ปี นานกว่าเรียนหมอแล้วครับ (หัวเราะ) กลับมาเรื่องคุณพ่อต่อ คือผมใช้เวลานานมากนะครับกว่าพ่อจะโอเค เพราะนอกจากทำทั้งสองอย่างให้ได้แล้ว อีกอย่างคือเรายังมีรายได้จากการทำงานมาดูแลครอบครัวได้ด้วย พ่อก็เลยเห็นว่าเราดูแลได้จริงๆ ตอนนี้ช่วงเช้าพ่อจะเป็นฝ่ายรายงานข่าวจากการอ่านหนังสือพิมพ์ให้ผมฟัง บางทีก็ส่งรูปมาให้ ถ้ามีร้องเพลงที่ต่างจังหวัดก็ตามไปดูด้วยครับ แต่ยังไงก็ขอออกตัวไว้ก่อนนะว่า วิธีนี้ผมไม่ได้แนะนำใครให้ทำตามนะครับ เพราะแต่ละครอบครัวก็มีวิธีที่รับมือแตกต่างกัน”

ชีวิตคือการเรียน “รู้” และ “ไม่รู้”

“ผมพูดถึงการเรียนรู้มาตลอด เพราะเราคิดอย่างนั้นจริงๆ ถ้าไม่นับเรื่องการเรียน งานอดิเรกของผม ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นกีตาร์ เล่นดนตรี ดูหนัง ซีรีส์ ก็เป็นการเรียนรู้ เราไม่ได้อยากดูหนังแบบปล่อยผ่าน แต่ดูด้วยว่าคนนี้เล่นยังไง คนนี้เล่นเก่งจัง มีวิธีการเล่นแบบนี้ด้วยเหรอ บางเรื่องปูมุกบางอย่างมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วขมวดปม 2-3 รอบตอนจบ แล้วก็เจ๋งมากๆ อะไรแบบนี้ เราก็เรียนรู้ไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมที่จะไม่รู้ด้วย

ผมเองก็เคยเป็นคนที่รู้สึกว่า “ยอมโง่ไม่ได้” เหมือนกัน แล้วก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การคิดแบบนี้ทำให้เราอยู่ที่เดิม อย่างเมื่อก่อน เวลาอาจารย์ถามมา ผมจะคิดว่า เราจะตอบยังไงไม่ให้ดูโง่ ก็พยายามแถไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็วนอยู่ในอ่าง ไม่ได้คำตอบจริงๆ ว่าคืออะไร หลังจากนั้น ผมก็เรียนรู้ว่า แค่ยอมรับว่าเราไม่รู้ ก็ทำให้ได้ความรู้กลับมาแล้ว ถามว่าทำแบบนี้ง่ายไหม ง่ายนะครับ แต่ก็ยากเหมือนกันสำหรับคนมีอีโก้ คนที่คิดว่าฉันโง่ไม่ได้ ฉันต้องดูดี แต่สุดท้ายคุณไม่ได้ดูดีจริงๆ ผมอยากให้ลองนึกย้อนดูนะครับ ว่าเราต่างมีอีโก้กับการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าในมุมผมเอง เรื่องนี้เหมือนกับเรื่องน้ำเต็มแก้ว ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่ผมคิดว่ากำลังจะรู้สึกอย่างนี้ วิธีการของผมคือหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ หรือว่าเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มันเหมือนกับนำน้ำที่กำลังจะเต็มแก้วของเราใส่ลงไปในแก้วที่ใหญ่กว่าเดิม ทำให้เรามีพื้นที่ในการเติมน้ำ มีพื้นที่ที่จะได้เรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้ของเราเองไม่มีที่สิ้นสุดครับ”

นายแบบ: ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์

เสื้อผ้า: LOEWE

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

แต่งหน้า-ทำผม: ภคณัฏฐ์ พูลสวัสดิ์

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

สถานที่: Quaint Bangkok :Brasserie Bar Venue โทร. 02-714 1998

ติดตามเรื่องราวของ someonestory.co ได้ที่

Web : www.someonestory.co

Facebook : www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA Twitter : www.twitter.com/someonestoryc

About the author

+ posts
0%