โอ๊ต ปราโมทย์ ตัวตนที่แตกต่างและสาระ ทุกข์ สุข ดิบ ของผู้ชาย “โคตรคูล”

อีกด้านหนึ่งของนักร้องเสียงดี อารมณ์ดี ฝีปากจัดจ้านอย่าง โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน คือความเรียบง่ายที่ดูแตกต่างจากความจี๊ดจ๊าดที่เราได้รู้จัก โอ๊ตไม่ใช่ผู้ชายปาร์ตี้หนักอย่างที่หลายคนคาดการณ์ แต่เป็นคนรักสงบและชอบอยู่บ้านถึงขนาดที่เรียกว่าให้อยู่นานแค่ไหนก็อยู่ได้

ในพาร์ตของความเป็นเพื่อน หลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนเข้าถึงง่าย แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่สนิทกับคนใหม่ๆ ได้ยาก หรือหากมองว่าโอ๊ตเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ชอบเปย์เงินก้อนโตไปกับข้าวของต่างๆ อย่างไม่คิด ความจริงแล้ว ของทุกชิ้นที่เขามี นอกจากจะผ่านกระบวนความคิดและค้นหามาอย่างดี ยังเป็นของที่ตอบโจทย์ความรู้สึกที่ขาดหายไปในวัยเด็ก สำหรับเรื่องของหัวใจที่โอ๊ตยังคงหวงความโสดไว้ นั่นเพราะลึกๆ แล้วเขาอยากมีพาร์ตเนอร์คนที่เข้ากันได้มากพอที่จะร่วมสร้างครอบครัวด้วยกัน

มากไปกว่ารอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความต่ำตม ยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์อีกหลายเรื่องที่เราเพิ่งได้รู้หลังจากมีโอกาสได้นั่งคุยกับโอ๊ตแบบยาวๆ กว่าสองชั่วโมงในครั้งนี้

ช่วงเวลาเติบโตของโอ๊ต-ปราโมทย์

ตอนนี้ผมไม่ได้มองว่าชีวิตตัวเองอยู่ในช่วงขาขึ้นนะครับ แค่รู้สึกว่าโตขึ้นจากช่วงเวลาแรกๆ ที่เริ่มร้องเพลงกลางคืน ทำงานเบื้องหลัง จนมาเป็นศิลปิน นักแสดง และเป็นเจ้าของบริษัท เป็นการเติบโตในอีกรูปแบบไปเรื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดัง ไปไหนมาไหนมีคนรู้จัก ส่วนการรับมือกับชื่อเสียง แรกๆ ลำบากมากเลยครับ เพราะเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบออกจากบ้าน ไม่เที่ยวผับ ห้างแทบไม่ไป หรือไปก็น้อยมาก จะไปก็ต่อเมื่อไปซื้อของที่จำเป็นจริงๆ หรือต้องออกไปทำงานจริงจัง เฟสติวัลจะไปเฉพาะช่วงที่ต้องไปร้องเพลง ผับเข้าไม่เกิน 5 ครั้งต่อปี ไปเฉพาะวันเกิดเพื่อนที่สนิทจริงๆ ผมเป็นคนไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆ แล้วยังเป็นคนรู้จักกับคนยาก จะเฟรนด์ลี่กับเพื่อนที่สนิทแล้ว สำหรับคนที่ไม่รู้จักไม่ค่อยกล้าเข้าไปหาเขา มีความขี้เกรงใจสูงครับ แต่ในพาร์ตทำงานผมจัดการได้นะครับ สามารถปรับตัวได้เลย   

ชีวิตติดบ้านของผู้ชาย “โคตรคูล”

ผมเป็นคนติดบ้านครับ ที่นี่เป็นเหมือนเซฟโซนของผม ปีใหม่ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ออกจากบ้านเลย จนถึงวันที่ต้องออกไปตรวจบ้านต่างจังหวัด ก็จะไปอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ไม่ไปเพ่นพ่านที่อื่น เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ไม่เกิน 4 ชั่วโมง ผมจะกลับมานอนบ้าน อย่างโคราช เล่นเสร็จเที่ยงคืนครึ่ง ผมตีรถกลับเลย ถึงบ้านตี 5 ถ้าต้องบินไปต่างจังหวัดผมจะบินไฟล์ตเย็น ไปถึงเข้าห้อง เก็บของ อาบน้ำ นอนหนึ่งงีบ ตื่นขึ้นมาร้องเพลง กลับเข้าห้อง ตื่นเช้าที่สุด บินกลับไฟล์ตเช้าสุดครับ

ย้อนวัยให้รางวัลตัวเองแบบสุดซอย

ของเล่น กล้อง รถยนต์ นาฬิกา เกม เป็นสิ่งที่เติมเต็มวัยเด็กของผมครับ มันตอบโจทย์ตอนที่เราไม่มี ตอนเด็กๆ แม่ไม่ค่อยให้เล่นอะไรแบบนี้ พอโตมามีโอกาส มีกำลัง เลยซื้อนั่น ซื้อนี่ แล้วเป็นคนไม่ชอบซื้อของธรรมดา แต่ชอบซื้อแบบสุดซอย (หัวเราะ) ถ้ามีตัวไหนที่เป็นลิมิเต็ดหรือหายากๆ ต้องซื้อตัวแบบนั้น ไม่ค่อยซื้อตัวธรรมดา เพราะรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วพวกลิมิเต็ดนี้ ถึงเวลาแล้วมูลค่าของมันจะขึ้นไปเรื่อยๆ และสามารถขายได้ในวันข้างหน้า ล่าสุดเพิ่งขายนาฬิกาไป 5 เรือน เกือบหมดเซฟเลยครับ เพราะเอาไปซื้อบ้าน เห็นผมจัดเต็มขนาดนี้ แต่ไม่เคยมีใครล่อลวงผมให้ซื้ออะไรได้ ในขณะเดียวกัน ผมกลับไปเป็นฝ่ายล่อลวงมากกว่า เพราะความจริงผมคือตัวพ่อของการป้ายยา ถ้าผมเป็นเซล ผมรวยเลยครับ (หัวเราะ) เพราะเป็นคนชอบศึกษาหาสิ่งที่มันยากๆ ดูว่าตอนนี้ฮิตอะไรกัน เขาเล่นอะไรกัน เราก็จะกระโจนก่อนเป็นคนแรก ผมป้ายยาไปหลายคนแล้วครับ อย่างบ้านริมทะเล ก็ป้ายนิว-จิ๋ว (นภัสสร ภูธรใจ-ปิยนุช เสือจงพรู) ป้ายอนันดา (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) ด้วย เขาก็ไปดูกัน แต่ว่ายังไม่มีใครซื้อ เพราะรู้ว่าบ้านติดผม เลยกลัว พวกเขาบอกว่าจริงๆ บ้านน่าอยู่ แต่เพื่อนบ้านไม่ดีครับ (หัวเราะ) หลังๆ ก็มีนาฬิกาที่เราจะป้ายเพื่อนบ้าง และคนที่โดนก็คือพี่ป๊อบครับ (ปองกูล สืบซึ้ง) เขาก็รู้นะว่าโดนหลอก แต่ก็เต็มใจให้หลอกครับ

สบายๆ กับกระแสวิจารณ์

ตอนนี้ผมเล่นไอจีกับเฟซบุ๊กครับ ส่วนทวิตเตอร์เลิกเล่นแล้ว เรื่องกระแสวิจารณ์เวลานี้รับมือสบายๆ อ่านแล้วก็ผ่านไป ไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่จะโดนต่อว่า เพราะมีพื้นที่ของเราอยู่แล้ว แต่ตอนแรกผมพยายามเถียง พยายามเอามุมของเราไปพูดว่าไม่ใช่แบบนั้น แบบนี้  แต่พอไปพูดแล้วเหมือนเราตะโกนใส่กำแพง เขาไม่รับฟัง เพราะว่าสุดท้ายเขาเต็มไปด้วยความอคติ เพราะถ้าเขาไม่อคติ ก็คงไม่พิมพ์ว่าเรา เราเลยปล่อยไป ช่วงนี้คือชิลล์มากครับ

โคตรคูล” วางแผนไว้ในวันที่ชื่อเสียงไม่เหมือนเดิม

ชีวิตคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลงเป็นธรรมดาครับ ในวันที่เราลงคงได้พักผ่อนมากขึ้น ถอยไปอยู่เบื้องหลังมากขึ้น เป็นผู้บริหารและเป็นผู้ผลิตมากขึ้น เรื่องนี้ผมวางแผนตั้งแต่เริ่มมีคนรู้จักเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาแล้วว่าต้องหาวิธีแลนดิ้งแล้วนะ เพราะทุกอย่างมีขึ้น มีลง อีกอย่าง ผมเป็นศิลปินเทาๆ ปากจัด พูดจาไม่ดี บุคลิกน่าหมั่นไส้ด้วย เลยเซ็ตตัวเองไว้เลย ความจริงผมวางไว้ว่าน่าจะเป็นแบบนี้อยู่ 1-2 ปี แต่ดันจับพลัดจับผลูทำบริษัทโคตรคูล จำกัด กลายเป็นว่าไปเติบโตในอีกช่องทาง แล้วในอนาคตก็จะผันตัวไปเป็นเบื้องหลัง ตอนนี้ก็แทบจะเป็นเบื้องหลังเสียเยอะแล้วครับ ส่วนที่ตั้งชื่อบริษัท โคตรคูล จำกัด เพราะเป็นคำติดปากตอนทำรายการ The Driver เห็นอะไรเจ๋งๆ ก็จะบอกว่าโคตรคูลเลยว่ะ รู้สึกว่าคำนี้ติดปากเรา แล้วคนก็จำได้ แล้วผมพบว่าสิ่งที่บริหารยากสุดบนโลกใบนี้คือมนุษย์ครับ บริหารอย่างอื่น เช่น เงิน เวลา ง่ายกว่าเยอะ เพราะแต่ละคนก็ร้อยพ่อพันแม่ มีความคิดที่ต่างกัน เติบโตมาด้วยสังคมที่ต่างกัน มีอดีตต่างกัน มีเพื่อนต่างกัน การที่มาอยู่รวมกันก็มีปัญหาบ้างอยู่แล้ว ผมพยายามปรับจูนและทำความเข้าใจกันให้บริษัททำงานได้ ทุกคนต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้วความเป็นหนึ่งเดียวคือ น้องๆ ทุกคนรักกันและรักเราในแบบที่เราเป็น ผมแสดงความรักให้น้องๆ ทุกคนได้เห็นชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับทุกคน ผ่านการกระทำที่ไม่ใช่คำพูด

โควิด-19 กับการรับมือและมุมมอง

โชคดีที่ปรับตัวเร็วครับ เราเริ่มทำไลฟ์ เริ่มทำ Diary ถ่ายไม่เลิก อยู่บ้าน ใช้โทรศัพท์ถ่ายว่าวันๆ ทำอะไรบ้าง ปรับรูปแบบรายการจีบหนูหน่อย มาถ่ายในบ้าน ปรับแผนมาถ่ายทำในบ้านมากขึ้น ลูกค้าเริ่มเห็นแล้วว่านิวนอร์มัลเป็นอย่างไร เห็นว่าการโปรโมตหรือขายสินค้างานเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นไลฟ์อะไรแบบนี้  ส่วนเรื่องดนตรีจะเป็นรายได้ส่วนตัวนิดหนึ่ง แต่ว่าปัญหาคือพี่ๆ นักดนตรีจะไม่มีงาน

โควิด-19 เป็นเรื่องของโรคระบาด ห้ามไม่ได้ ทุกคนเดือดร้อนกันหมด และคนที่ปรับตัวเร็วคือคนที่รอด เอาเข้าจริงผมเองแทบไม่ค่อยปรับตัวเลยนะ เพราะไม่ออกจากบ้านอยู่แล้ว (หัวเราะ) เราพยายามบอกให้ทุกคนรักษาตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดี เพราะว่าการที่คนหนึ่งจะมีโอกาสเสี่ยงติดขึ้นมา มันส่งผลต่อบริษัทเยอะ สุดท้ายเราจะคุยกันและร่วมมือกันตลอด สมมติมีเรื่องอะไร ผมจะเรียกทุกคนมาประชุมกันว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างนี้นะ เราจะยังไงกันดี ทุกคนจะช่วยกันได้ไหม เช่น โควิด-19 รอบที่ผ่านมา ผมยังจ่ายเงินเดือนปกติ ไม่ได้ลด แต่ขอความร่วมมือทุกคนไม่ต้องทำโอที กลับบ้านเร็วหน่อยจะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่วนนักดนตรีก็บอกให้ทุกคนเซฟเงินไว้ อย่าเพิ่งใช้เยอะ เพราะไม่รู้ว่าจะมาอีกเมื่อไหร่ แล้วตอนที่เกิดโควิด-19 ผมก็โอนเงินให้นักดนตรีในวงเดือนละ 100,000 บาท ประมาณ 3 เดือน ให้เขามีค่าผ่อนคอนโด ผ่อนมอเตอร์ไซค์ครับ

ถึงจะมีวันนี้ แต่ก็ยังคิดว่าเราเป็น Underdog

ผมเป็น Underdog มาตลอดนะครับ ตั้งแต่ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ตอนทำงานจะถูกให้อยู่แถวหลังเสมอ ไม่ได้เป็นที่สนใจของคนอื่น ผมอยู่ในวงการ 10 ปี เพิ่งจะมีเพลง “เมื่อวาน” เป็นเพลงแรก ก็บ่งบอกได้ว่าผมเป็น Underdog จริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกอย่างนั้น ผมมองว่าความรู้สึกเป็น Underdog ทำให้เราพยายามตลอดเวลาที่อยากจะประสบความสำเร็จ เพราะในวันที่เรารู้สึกว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว มันไม่สนุกครับ เมื่อก่อนผมอาจมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องนี้บ้าง แต่ตอนนี้ผมว่ามันเป็นแรงขับเคลื่อนให้เรามีความพยายามมากขึ้นในการที่จะเติบโต

คำว่า Underdog ของผม ไม่ได้หมายถึงผู้แพ้นะครับ แต่หมายถึงคนที่อาจไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่สมบูรณ์แบบ คนที่ไม่ได้มีลักษณะกายภาพที่ดึงดูดคนอื่น หรืออาจเป็นคนที่ไม่ได้มีความสามารถเก่งสู้คนอื่นได้ ฉะนั้นเมื่อคุณรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ คุณต้องพัฒนาความสามารถทางด้านอื่นให้ดีมากขึ้นไป จนทำให้ทุกคนยอมรับได้ ไม่ว่าจะด้วยทางไหนก็ตาม คุณหน้าตาไม่ดี คุณอาจจะต้องร้องเพลงให้ดีมากๆ เพื่อให้ทุกคนยอมรับ คุณอาจร้องเพลงไม่ดี แต่คุณเป็นคนที่พูดเก่ง ถ้าคุณเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่วาดรูปเก่ง คุณก็ต้องวาดรูปให้ทุกคนยอมรับว่าคุณเป็นศิลปิน มันมีวิธีการจัดการความคิดตัวเองให้เรามีความพยายามได้ในทุกๆคน

ซึ่งถ้าถามผม ผมพยายามมากครับ เมื่อก่อนทำงานเบื้องหลัง ร้องคอรัส ร้องไกด์ ผมเป็นโปรดิวเซอร์เพลง เป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัย เป็นพิธีกรของรายการเคเบิล ได้เงินหรือไม่ได้เงิน ผมทำหมด เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากจะประสบความสำเร็จ เราอยากเก่ง เงินไม่ได้ไม่เป็นไร แต่เราอยากได้ประสบการณ์ ยิ่งงานไหนที่มีคนเก่งๆ ยิ่งอยากทำงานด้วยโดยที่แทบจะไม่อยากได้เงินเลยด้วยซ้ำเพราะสิ่งเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมนะครับ

ทุกคนอาจรู้สึกว่าผมประสบความสำเร็จแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่ายังต้องไปอีก การประสบความสำเร็จสำหรับผมหมายถึงต้องทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวเราอยู่รอด มีความสุข เติบโตไปด้วย เพราะอย่างตัวผมเอง กินใช้ ก็ทั่วไป กินข้าวกองได้ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องไปไหน อีกอย่าง ผมว่าคำว่าประสบความสำเร็จมันถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงอายุ พออายุมากขึ้นก็จะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ตอนที่เราเด็กก็จะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง จะเป็นคนละภาพกันครับ

ตอนนี้หัวใจยังว่าง

ตอนนี้ผมทำงานหนักมาก และโฟกัสก็อยู่กับบริษัทที่จะเติบโตไปอีก รู้สึกว่าที่นี่กำลังเติบโตในรูปแบบที่เราแฮปปี้ แต่ถ้าผมมีแฟน โฟกัสจะเปลี่ยน เพราะเวลารักใครชอบใครจะอิน แล้วถ้าผิดหวังก็ทำงานไม่ได้ งอแง ผมไม่ชอบตัวเองตอนนั้น รู้สึกว่ากระจอก แล้วเราเป็นหัวหน้าคนด้วยเลยไม่อยากให้อย่างอื่นมาทำให้เราเสียโฟกัสตรงนี้ไป ตอนนี้เลยโสดครับ สบายมาก มีความสุขดี ได้ใช้เงินคนเดียว มีคนคุยผ่านมาบ้างเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่อยากมีครับ

ในอนาคตจริงๆ ผมอยากแต่งงาน อยากมีลูก เพราะอยากจะเห็นเราในร่างจูเนียร์ครับ ไม่รู้ว่าจะเหมือนเราไหม แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้เค้าเราไปบ้างล่ะ อยากดูพัฒนาการการเติบโตของเขา แต่แต่งงานตอนไหนไม่รู้ครับ เป็นเรื่องของอนาคต ด้วยอายุขนาดนี้ไม่ได้มองเรื่องแฟนแล้ว มองในเรื่องพาร์ตเนอร์ เพื่อนที่อยู่ด้วยกันได้ ไม่ทะเลาะกัน เข้าใจในความเป็นโอ๊ต ปราโมทย์ ผมอยากมีลูก 2 คน หญิง 1 คน ชาย 1 คน ครับ

เมื่อคำว่า “หมดแพสชั่น” ยังถูกแซวไม่เลิก

ผมเฉยๆ ครับ เป็นประโยคซึ่งผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่รู้สึกบ้าง แต่ถ้าเป็นเพื่อนแซวจะไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเพื่อนรู้ว่าเราไม่ได้เครียดอะไร แต่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักมาแซวก็ยิ้มครับ ไม่ได้ทำอะไร คือด้วยบุคลิกเรา คนจะรู้สึกว่าเล่นได้ ถ้าสมมติมีคนเล่นกับผม แล้วผมพูดกลับไปว่าพี่เป็นอะไรครับ ผมดูเป็นคนไม่ดีทันทีเลย เพราะคนจะคาดหวังไว้ว่านี่คือคนตลก ใจเย็น น่ารัก ถ้ามันเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง สิ่งดีๆ ที่ผมทำมาเป็นหมื่นครั้งจะถูกลบในครั้งเดียวเลย

กำลังใจที่อยากส่งต่อให้กับทุกคนในสถานการณ์โควิด-19 ที่ยากลำบาก

ผมว่าทุกคนตอนนี้ลำบากหมดครับ และมีคนที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะ ช่วงนี้ต้องตั้งการ์ดกันดีๆ ไปก่อน ดูแลตัวเราเองให้ดีที่สุด เพราะถ้าเราไม่เป็น หรือไม่เป็นพาหะให้คนอื่นเป็น โรคนี้ก็จะหายไปไวขึ้น และอย่าเพิ่งท้อ ผมรู้สึกว่าการที่เกิดโรคระบาดแบบนี้ ก็เหมือนฝนตก พอวันหนึ่งที่หายไป ทุกอย่างก็จะสดใสขึ้นเสมอ อาจมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมา แล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปตลอดเลยก็ได้ พยายามมองโลกในแง่ดีเอาไว้ ฉะนั้นสู้ครับ ส่วนคนที่ติดโควิด-19 แล้ว มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นี่เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ขอให้หายไวๆ รักษาตัวเองให้ดี ฟื้นฟูร่างกายตัวเองให้กลับมาทำงานให้เต็มที่ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็รักษาให้หาย และมองว่าเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว สู้ครับ อดทนอีกนิด ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ

นายแบบ: ปราโมทย์ ปาทาน

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%