“เป้ อารักษ์ เป็นคนขี้เบื่อจริงมั้ย?”

เป้ อารักษ์
เป้ อารักษ์

จากคำถามที่ว่า ‘เป้ อารักษ์’ เป็นคนขี้เบื่อจริงมั้ย? สู่คำตอบที่ทำให้เรารู้ว่า 15 ปีในวงการบันเทิงของผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เค้ามีอาชีพ แต่นี่แหละ ‘มืออาชีพ’

หลายครั้งที่การเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอนั้นอาจถูกตีความได้ว่า คุณเป็นคนขี้เบื่อ แล้วสำหรับเป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ ล่ะ ผู้ชายที่เป็นมาแล้วทั้งนายแบบ นักแสดง นักร้อง นักดนตรี พิธีกร และอีกหลายบทบาทที่ทำให้เพื่อนๆ ในวงการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เขานี่แหละนักกิจกรรมตัวจริง” วันนี้เป้จะมาคุยให้เราฟังว่าเพราะอะไรเขาจึงชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วสิ่งเหล่านั้นให้ประโยชน์กับการใช้ชีวิตของเขาจริงๆ หรือแค่ทำให้เขาเสียเวลาไปเปล่าๆ “ใช่ครับ ผมเป็นคนขี้เบื่อ” เป้ตอบคำถามของเรา ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสบายๆ อย่างที่เราคุ้นเคย “แต่มีบางอย่างที่ได้จากสิ่งเหล่านั้นนะ”

“หลายกิจกรรมที่ผมทำเป็นเพราะอาชีพนักแสดง เช่นการออกกำลังกาย เราทำเพื่อให้ตัวเองดูดี ร่างกายแข็งแรง ถ้าวันนึงมีบทที่ต้องถอดเสื้อเราก็ต้องดูดี ฉะนั้นการเล่นกีฬาต่างๆ จึงมีผลต่อการแสดงในด้านร่างกายครับ”

เพราะทุ่มเทให้กับงานแสดง
เมื่อเราเริ่มต้นคำถามด้วยเรื่องที่เราได้ยินมาว่า เป้เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสนใจด้านกีฬา อย่างยูโด มวยปล้ำ ยิวยิตสุ เซิร์ฟ ปีนเขา ยิงปืน ไปจนถึงเรื่องละเมียดละไมอย่างการชงกาแฟ ที่ถึงขั้นลงเรียนหลักสูตรบาริสต้าเลยทีเดียว เป้ให้คำตอบกับเราในเรื่องนี้ว่า “หลายกิจกรรมที่ผมทำเป็นเพราะอาชีพนักแสดงครับ เช่นการออกกำลังกาย เราทำเพื่อให้ตัวเองดูดี ร่างกายแข็งแรง พร้อมอยู่เสมอ เช่นถ้าวันนึงมีบทที่ต้องถอดเสื้อ เราก็ต้องดูดี ไม่ใช่อ้วนเละเผละ ฉะนั้นการเล่นกีฬาต่างๆ ก็น่าจะมีผลต่อการแสดงในด้านร่างกายครับ แต่ก็มีบางชนิดกีฬาที่ผมได้เรียนรู้ เพราะต้องรับบทบาทบางอย่าง เช่นในเรื่อง The Missing ที่เป็นการร่วมทุนสร้างระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ผมรับบทเป็นตำรวจ ก็ได้เรียนอะไรใหม่ๆ ผมเริ่มต้นจากการไปใช้ชีวิตอยู่ที่สถานีตำรวจ อยู่กับตำรวจสืบสวนชื่อพี่เปี๊ยก เขาสอนผมเรื่องการจับกุม แล้วเขาเล่าว่าสมัยที่พี่เขาเรียนนายร้อย เขาเรียนยูโด ซึ่งผมก็บังเอิญไปเจออาจารย์เป้ เจ้าของเหรียญทองยูโดซีเกมส์ 4 สมัย อาจารย์เป้เลยพาผมไปฝากกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งเขาสอนเต็มที่มากๆ เข้าคลาสแบบที่แทบจะประกบตัวต่อตัวกับผม ทำให้ผมได้เล่นยูโดแบบค่อนข้างจริงจัง แล้วจากนั้นก็เลยได้เล่น MMA (Mixed Martial Arts) ที่ต่อยด้วย ปล้ำด้วย ซึ่งก็ถือเป็นการต่อยอดไปเรื่อยๆ ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ที่มีความสนใจอะไรคล้ายๆ กัน”




เพราะเคยโดนรังแก
เราสงสัยว่าทำไมเป้จึงสนใจกีฬาประเภทต่อสู้มากนัก และนี่คือคำตอบ “ตอนเด็กๆ ผมเคยโดนไถตังค์ โดนแกล้งครับ ตอนโดนไถตังค์ 5 บาทนั่นผมเกิดฮึดสู้ขึ้นมา จำได้ว่าผมยืนขึ้น เขาเอาขากันไม่ให้ผมออก ผมเลยฟาดศอกเข้าหน้าเขาเต็มแรง แล้วกระโดดลงจากรถเมล์ แล้วกลิ้งตัว จากนั้นก็วิ่งต่อ ตอนนั้นคือกลัวมาก แต่ก็รอดมาได้ หลังจากนั้นผมเลยบอกตัวเองว่าเราต้องแข็งแรง ต้องไม่โดนแกล้งอีก แล้วผมก็ขอที่บ้านไปเรียนมวยครับ ตอนแรกพ่อส่งไปที่ค่ายๆ นึง แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ศิลปะ เขาให้เราเตะไปเรื่อยๆ เลยเปลี่ยนไปเรียนมวยไชยา รู้สึกว่ามีท่าทาง มีศิลปะ ทำให้ร่างกายเราแข็งแรงด้วย ต่อยก็พอได้ แต่พอเราโตขึ้นมาก็รู้สึกว่าถ้าเรามิกซ์ทุกอย่างรวมกัน มวยไชยาอาจใช้ไม่ได้ ต้องไปแก้ท่า เลยกลับไปเรียนมวยเหมือนที่เขาต่อยบนเวที” นี่ล่ะมั้งที่ทำให้เราได้เห็นเป้บนเวที 10 Fight 10

“สิ่งที่ทำให้ผมยังมีแรงบันดาลใจในการทำเพลงจนมาถึงทุกวันนี้ก็คือ เราเคยได้ลิ้มรสความสำเร็จทางด้านดนตรีตอนอยู่วง Slur ครับ ได้ออกทัวร์ ได้ไปสนุกกับเพื่อนๆ ได้ไปเจอแฟนเพลง ได้ไปใช้ชีวิตแบบร็อกสตาร์ และที่สำคัญเรายังเขียนเพลงได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังไม่หยุด”


เพราะรักที่จะเป็นนักร้อง
แม้ว่าเป้จะเป็นคนที่เมื่อลงมือทำอะไรแล้ว ก็จะทำให้ถึงที่สุด แต่เพราะว่ากีฬาที่เลือกเล่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นกีฬาต่อสู้ที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาจึงต้องมองหากิจกรรมใหม่ๆ นั่นเอง “ผมชอบเล่นกีฬาแนวต่อสู้ แต่ก็รู้ว่ามันอันตราย เราก็จะเล่นแบบปลอดภัยหน่อย พยายามไม่ซ่าเหมือนสมัยเด็กๆ เพราะถ้าโดนรัดคอจนร้องเพลงไม่ได้ ก็คงไม่ดีแน่ครับ” นอกจากกีฬาแล้ว ความชื่นชอบทางดนตรีก็ยังตอกย้ำให้เราได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่พร้อมเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ “ผมเป็นคนเปิดรับแนวดนตรีที่หลากหลายครับ ช่วงไหนชอบโฟล์กซอง ชอบคันทรีก็ทำคันทรี ช่วงไหนชอบร็อกก็ทำร็อก ชอบอิเล็กทรอนิกส์ก็ทำ”



เพราะติดใจความหอมหวานของชีวิตอย่างร็อกสตาร์
“สิ่งที่ทำให้ผมยังมีแรงบันดาลใจในการทำเพลงจนมาถึงทุกวันนี้ก็คือ เราเคยได้ลิ้มรสความสำเร็จทางด้านดนตรีตอนอยู่วง Slur ครับ ได้ออกทัวร์ ได้ไปสนุกกับเพื่อนๆ ได้ไปเจอแฟนเพลง ได้ไปใช้ชีวิตแบบร็อกสตาร์ และที่สำคัญเรายังเขียนเพลงได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังไม่หยุด เพราะเรามีเพลงอยู่ ถ้าผมแต่งเพลงเองไม่ได้แล้ว หรือผมไม่ชอบเพลงที่ผมแต่งแล้ว ผมก็ไม่ทำเพลงต่อหรอกครับ” เมื่อพูดคุยกันถึงตรงนี้ สิ่งที่เราสัมผัสได้นั่นก็คือความสุข ความสุขจากเสียงเพลงที่ทำให้เขาหวนคิดถึงความหอมหวานของความสำเร็จในวันวานและเป็นแรงผลักดันให้เขาไม่หยุดอยู่กับที่ “วง Slur เคยทำให้คน 5 หมื่นคนโบกมือได้ในเวทีเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าวันหนึ่งเราอาจจะกลับไปสู่จุดนั้นได้ แล้ววิธีการกลับไปสู่จุดนั้นคือ การทำไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ”


เพราะเห็นคุณค่าของการได้แบ่งปันความรู้
งานหลักอีกอย่างที่เป้ตกหลุมรักเข้าอย่างจังนอกจากงานแสดงและดนตรีแล้ว เห็นทีจะเป็นงานพิธีกรรายการเกษตรอีซี่ “เพราะว่าเราอยากรู้มากขึ้นครับ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจเรื่องเกษตรน่าจะเริ่มตั้งแต่ก่อนทำรายการเกษตรซ้าด ผมได้ไปออกรายการเจาะใจ แล้วเจอคุณลุงสมศักดิ์ เครือวัลย์ จากศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสองสลึง (ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว) ท่านเป็นคนทำเกษตรผสมผสาน พอเราไปเห็นก็รู้สึกว่าเกษตรที่ยั่งยืนมีอยู่จริง มหัศจรรย์ใจมาก แล้วผลผลิตที่ออกมาคือของฟรีเลยนะ ของเหลือเอาให้หมู ขี้หมูก็เอามาเป็นปุ๋ยขายต่อ ทำอีเอ็มบอล เราก็เลยรู้สึกตื่นตากับตรงนี้มาก พอมาทำเกษตรอีซี่ เราก็ได้รู้เรื่องอาหารมากขึ้น ได้รู้จริงๆ ว่าเศรษฐกิจพอเพียงทำได้จริงๆ นะ” นอกจากความสนใจส่วนตัวแล้ว การได้เห็นผู้คนได้รับประโยขน์จากการทำรายการก็เป็นแรงผลักดันให้เป้สนใจเรื่องเกษตรยิ่งขึ้น “ตอนที่ผมทำรายการเกษตรซ้าด มีคุณลุงที่ออกกำลังกายที่เดียวกับผมเค้าเดินเข้ามาทักว่า รายการนี้ดีมากเลยนะ ลุงชอบดู เพื่อนผมก็บอกว่าจะไปปลูกมะลิอย่างที่ผมทำ เราก็ตื่นเต้นว่างานตรงนี้มีผลอะไรอย่างนั้นเลยเหรอ เพราะที่ผ่านมาเราทำบันเทิงมาตลอด สาระไม่ค่อยได้แตะเท่าไหร เลยรู้สึกว่าอยากทำเรื่องที่มีสาระบ้าง”

ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันนี้ทำให้เราได้เห็นว่าเป้เป็นหนุ่มที่สนุกกับการไม่หยุดคิด และสร้างฝันตัวเองให้เป็นจริงเสมอ หลายๆ อย่างที่เป้ทำมานานอย่างการเป็นนักแสดง นักดนตรี นักร้อง เขาก็พยายามหาแง่มุมใหม่ๆ สร้างแพสชั่นใหม่ๆ เพื่อก้าวไปข้างหน้า ล่าสุดกับผลงานเพลงอัลบั้มใหม่ หนุ่มคนนี้ก็ควบตำแหน่งผู้กำกับมิวสิควิดีโอและโปรดิวเซอร์อีกด้วย ดังนั้นการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอสำหรับเป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ น่าจะแปลความว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งห่างไกลจากคำว่า “เป็นคนขี้เบื่อ” อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างไว้ในบทสนทนาช่วงแรก


เกี่ยวกับเป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ


ถึงแม้จะถูกมองว่าเป็น “นักกิจกรรมตัวยง” และขยันเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มาตลอด แต่สิ่งที่บ่งบอกความเป็นเป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ได้ดีที่สุดคือเรื่องราวของดนตรี เป้คร่ำหวอดในวงการดนตรีแบบที่เรารู้จักมาประมาณ 15 ปี ไม่นับรวมถึงช่วงที่เขาเรียนรู้มาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้เราจะได้ฟังเพลงของเขาในสไตล์ที่หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์แบบสุดๆ ของผู้ชายคนนี้คือเสียงร้อง และแนวการเขียนเพลงที่มักจะหยิบเหตุการณ์รอบตัวที่เขานำมาเล่าให้ฟังในท่วงทำนองแบบต่างๆ ล่าสุด เป้ได้ปล่อยอัลบั้ม BIG ออกมาซึ่งห่างจาก ARGOCHINA อัลบั้มที่แล้วประมาณ 1 ปี พร้อมส่งเพลง “เห็นหน้าเธอแล้วเจอแต่ปัญหา” และ “เพื่อนที่ทำงาน” มาให้รับชมและรับฟังกัน อัลบั้มนี้มีทั้งสไตล์ R&B, Hip-Hop, Folk ซาวนด์เล่นใหญ่แบบวงออเครสต้า ฯลฯ เรียกว่ามาใหญ่ มาเต็มสมชื่ออัลบั้ม

สำหรับเพลงเห็นหน้าเธอแล้วเจอแต่ปัญหา เป้ได้แรงบันดาลใจในการเขียนเพลงมาจากการโดนสาวรุ่นน้องขอให้เต้นเพลง เซโรงัง กลางคอนเสิร์ตจนเกิดเป็นท่อนหลักของเพลง ซึ่งก็คือ “ฉันเห็นหน้าเธอ ฉันเจอแต่ปัญหา” และใช้เสียงสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบหลักของเพลง ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 เพื่อนที่ทำงาน เป้ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงมาจากเรื่องจริงของเพื่อนสนิทที่โดนแฟนหักอกเพราะแอบไปมีกิ๊กกับคนที่เรียกว่าเพื่อนที่ทำงาน และเขายังได้แนวทางในการเขียนเนื้อของเพลงนี้มาจาก ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน ของนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ก้อง ห้วยไร่ โดยเน้นคำแรกของเพลงให้กลายเป็นท่อนจำ อีกทั้งยังชวน Timethai หรือ ธามไท แพลงศิลป์ ที่เจอกันในรายการ 10 Fight 10 มาให้ร้องแร๊ปให้เพลงดูมีสีสันที่แปลกไปอีกด้วย ถ้าฟังเพลงของหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนนี้มาบ้าง จะรู้เลยว่าเพลงในอัลบั้มนี้ของเป้ ฟังง่ายขึ้นมาก!

ติดตามเรื่องราวของ The Story ได้ที่

Web : www.someonestory.co
Facebook : www.facebook.com/SomeoneStory.co/
Instagram : www.instagram.com/someonestory.co/
Youtube : www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA
Twitter : www.twitter.com/someonestoryco

About the author

กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
นักเขียน at someonestory.co | + posts

รู้สึกตัวว่าชอบสัมภาษณ์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และรู้สึกว่าการได้สนทนากับผู้คนคือกำไรชีวิต

+ posts

0%