เพราะความรู้สึก ‘ไม่มีอะไรจะเสีย’ นี่แหละที่ทำให้ Slot Machine ยืนระยะในวงการดนตรีมาได้กว่า 20 ปี! “ความรู้สึกนี้สำหรับพวกเราเป็นอะไรที่ว่างๆ” เฟิด-คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์ หรือ เฟิด Slot Machine ฟร้อนท์แมนของวงเล่าถึงมุมมองการทำงานของวงตั้งแต่อัลบั้ม Mutation ซึ่งเป็นผลงานชุดที่ 2 ของวงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน “เรารู้สึกแบบนี้เหมือนกันทั้งวงครับ เวลาทำก็เลยมีแต่ ‘ได้กับได้’ ต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ประสบการณ์ หรือได้ลอง ดีกว่าเสียดาย ไม่ได้ลองแล้วคิดไปเองว่ามันไม่ได้ครับ”
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Slot Machine คิดแบบนี้มาจากความผิดหวังในอัลบั้มชุดแรก ‘Slot Machine’จริงอยู่ ถึงแม้จะมีคนรู้จักเพลง ‘รอ’ แต่กลับไม่มีคนรู้จักวง นักร้อง หรือนักดนตรี อีกทั้งการที่ไม่ได้ทำเพลงเองยังทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและรู้สึกเป็น ‘ตัวปลอม’ ท่ามกลางวงอินดี้กระแสแรงที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยตัวเองด้วย
…แต่เมื่อมีโอกาสทำอัลบั้มที่ 2 โดยได้ทั้งแต่งเพลง แต่งทำนอง ปั้นทุกอย่างด้วยตัวเองแบบไม่คาดหวังความปัง แต่คาดหวังความแปลก เพลง ‘ผ่าน’ จึงกลายใบเบิกทางสำคัญที่ทำให้ Slot Machine สร้างชื่อให้ตัวเองในอัลบั้ม Mutation ได้สำเร็จ แถมยังเติมเต็มความรู้สึกตัวเองในฐานะ ‘ตัวจริง’ ของคนดนตรีอีกด้วย
“จะบอกว่าโชคดีในโชคร้ายก็ได้ที่ชุดแรกเป็นแบบนั้น ตอนนั้นเราน้อยใจ ท้อ จะเลิกแล้ว เพราะผิดหวังสุดๆ แต่พอมันดีดกลับมาแล้วประสบความสำเร็จก็เลยรู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีนะ ทำให้ความรู้สึกของเราอันลิมิต ไม่มีการหวังว่าต้องไปแตะที่เลข 10 หรือตรงไหนอีก ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ทำอะไรก็ได้ เพราะว่าในชุดต่อๆ มา กราฟของ Slot Machine ก็มีขึ้น มีลง แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง เราก็เหมือนมีภูมิคุ้มกัน และก็ใช้ภูมิตรงนั้นไปสร้างงานในชุดต่อๆ ไปครับ”
ความท้าทาย ความเสี่ยงและโอกาส
อัลบั้มสากล Spin the World, Third Eye View บ่งบอกถึงความกล้าเสี่ยงและความสนุกในการทำอะไรใหม่ของวงดนตรีสุดจี๊ดเป็นอย่างดี “เราสนุกทุกครั้งในการทำอะไรใหม่ๆ มันเหมือนกับการเข้าห้องทดลอง อย่างอัลบั้มเพลงสากลทั้ง 2 ชุดก็เป็นอะไรที่ท้าทายนะครับ ในมุมมองคนอื่นผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง แต่ในมุมของศิลปินถือว่าประสบความสำเร็จมากถึงมากที่สุด เพราะว่าได้ทลายทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วใช้ความกล้าหาญมากๆ เพราะเรารู้ว่าจะต้องหายไปจากแฟนเพลงไทย หายไปจากหน้าปัด ฟีด อัลกอลิทึม แล้วก็จะมีวงใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะแต่ก็รู้ว่าธรรมชาติเป็นแบบนี้ ถ้าเราดีจริงๆ เดี๋ยวก็กลับมาได้ ไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าให้เลือกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เลือกโอกาสนี้
ส่วนเรื่องประสบความสำเร็จผมมองว่าขึ้นอยู่ที่เรา เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราคือตาน้ำของงานนี้ ถ้ารู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้วไปต่อ วงนี้ก็จะไปต่อ แต่ถ้าไปขึ้นอยู่กับคนฟังก็อาจไปต่อหรือไม่ก็ได้ เพราะคนไม่ชอบเพลง ดังนั้นเลยดึงกลับมาตรงจุดที่ว่า เราคือครีเอเตอร์ เราคือลีดเดอร์ สมมติเป็นหนังเรื่องหนึ่งแล้วเรื่องนี้เราเป็นตัวดำเนินเรื่องก็ต้องไปต่อจนมันจบเรื่อง”
จุดแข็งของ Slot Machine
เพราะรู้ว่าของจริงคือ ‘การเล่นสด’ ช่วงแรกวง Slot Machine จึงฝึกซ้อมกันวันละ 8 ชั่วโมง โดยจำลองภาพเวทีการแสดงจริงไว้ในห้องซ้อม เซ็ตระบบตั้งแต่เพลง ซาวน์ ทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ทั้งการเล่นและการร้องเป๊ะเหมือนออกมาจากแผ่น ดูจังหวะการเปลี่ยนกีตาร์ จับเวลาในการทำงานให้ลงตัว ฯลฯ
“ตอนแรก Slot Machine จะขึ้นชื่อเรื่องการแสดงสด และการร้องที่เราทุ่มกันสุดตัวมาก เพราะเราไม่มีประสบการณ์เรื่องเพลง แต่ได้เรื่องความใหม่ ไม่มีกรอบ แต่งเพลงตามที่รู้สึกอยากจะถ่ายทอด โดยที่อาศัยยุคทองของเพลงอินดี้ รู้สึกว่าอยู่ในช่วงเวลาที่โชคดีด้วย เพราะไม่ได้ตั้งใจจะแต่งให้เพลงฮิต เพลงเราเป็นเหมือนงานทดลอง ซึ่งก็ได้มาหลายเพลง หลายอย่าง พอเพลง ‘ผ่าน’ พิสูจน์ว่าเราแต่งเพลงเอง เล่นเองได้ ทุกคนในวงเลยเซนส์กันว่าเราน่าจะสามารถทำตรงนี้ให้เป็นอาชีพได้
ตอนที่มีโอกาสได้ไปเล่นงาน Fat Radio ครั้งที่ 6 เราซ้อมกันเป็นเดือน ตั้งใจปั้นมาก เพราะรู้ว่านี่คือโอกาสและรู้ว่าคนชอบเพลง เรารู้ว่าในงานนี้จะมีทั้งคนที่ชอบ อยากเห็นเล่นสด กับคนที่อยากเห็นว่าเล่นจริงเป็นยังไง และถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยอะไรแบบนั้นมาตลอด เหมือนปรู๊ฟตัวเอง สะสมแต้มมาเรื่อยๆ ถึงวันนี้การซ้อมของเราคือเล่นจริงบนเวทีไปแล้ว เหมือนทักษะเราแน่น สเต็ปท์ต่อไปคือทำงานจริง ไปเจอคน เปลี่ยนที่ เปลี่ยนคน สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม กับเพลงเดิมนี่แหละ แต่คนวันนี้เป็นยังไง อากาศเป็นแบบไหน หรือหลายๆ อย่าง ถ้าเปรียบเป็นหนังจีนก็เหมือนหมัดเมาครับ ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ และกาลเทศะ”
ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
“ผมรู้ว่าเรื่องที่อยากให้วง Slot Machine เป็นตำนาน ตอนนี้มันเป็นไปแล้วโดยธรรมชาติ อาจดูเหมือนเราโอ้อวดนะครับ แต่ผมว่าเรามองไม่เหมือนกัน เราต้องรู้ว่าเรามีดีอะไร ไม่ต้องมาเขินอายว่า เราเก่งอะไร ไม่เก่งอะไร ต้องรู้ตัวเองให้ดีที่สุดว่า คุณเก่งอะไร ทำไปถึงตรงไหน จะได้บริหารตัวเองได้ และพัฒนาต่อไป แต่ไม่ได้นำมาใช้เบียดเบียนคนอื่น เรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์ ความเข้าใจ ความรู้สึก ไม่ใช่ลดที่ความคิด แต่ต้องลดจากใจเราเลยครับ”
เปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า
ความจริงจังของเฟิดคงเป็นเรื่องดีในการทำงานและการใช้ชีวิตถ้ามีการยืดหยุ่นเข้ามาสร้างสมดุล ไม่อย่างนั้นมุมมองแบบนี้จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองและคนอื่นได้ด้วย “ในขณะที่เพื่อนๆ อีก 2 คนในวงเป็นคนชิลล์ๆ ผมกลับเป็นคนเครียด และอารมณ์ร้อนด้วย มาครบเลย (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่แบบโผงผางนะครับ ปกติจะเป็นคนนิ่งๆ ไม่แสดงออก แต่เวลาพูดก็ตู้ม! และด้วยความที่เป็นคนซีเรียสก็เลยจะกอดทุกอย่างไว้ที่ตัวเองทั้งหมด
เมื่อก่อนเวลาคุยงานในไลน์ก็จะตอบคนแรก ไม่ว่าจะกี่โมงกี่ยาม หรือผ่านไปอีกวันผมก็ยังตอบคนแรก มีช่วงหนึ่งเลยที่รู้สึกว่าทำงานอยู่คนเดียว และเรายังเป็นทั้งคนคิดไดเรกชั่นของวง แต่งเนื้อเพลง ทำสไตลิ่งให้วงด้วย สุดท้ายแล้วเลยเครียดหนัก มีพลังงานที่ไม่ดี มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่คนเริ่มไม่เข้าใกล้ เพราะเราดุ ขนาดนั่งคุยกับ someonestory.co ตอนนี้ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีรังสีอำมหิตจิตอาฆาตออกมาเลย (หัวเราะ) แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมแค่อยากให้คนเกรงใจ แต่ไม่ได้อยากให้ใครเกรงกลัว ความเกรงใจทำให้เรามีสเปซในการทำงาน ให้เกียรติกันในการทำงาน แต่พอกลายมาเป็นเกรงกลัวทำให้เสียงาน เสียความสัมพันธ์ สุดท้ายก็มาดูเพื่อนเราเองว่าทำไมเราเครียดแล้วเขาไม่เครียดล่ะ พอมองแบบนี้เลยค่อยๆ ปรับ ยกตัวอย่างเรื่องตอบไลน์ที่เล่าไป ตอนนี้ผมก็ปล่อยให้เขาตอบ เขาจะตอบตอนไหนก็เรื่องของเขา คิดว่าบางทีเราเปื่อยๆ บ้างก็ได้ ซึ่งผมก็ทำได้มากขึ้นเรื่อยๆ สรุปเปลี่ยนตัวเองง่ายกว่า (หัวเราะ)”
“You laugh at me because I’m different. I laugh at you because you’re all the same.”
Lady Gaga
ความเป็นตัวเองอาจทำให้บางคนมองว่าแตกต่างและประหลาด เฟิดเองก็เจอเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก “มีหลายคนพยายามจะบอกว่าผมเป็นอะไรแบบนั้น หรือไม่ก็ ติสท์แตก คิดเยอะ เครียด ตอนเด็กๆ เรื่องนี้ก็เป็นปมนะครับ ถ้ามองย้อนกลับไปในวันนั้นเพื่อนเราก็ยังเด็ก เขาบริสุทธิ์มากจนไม่คิดว่าคำเหล่านี้จะทำให้เพื่อนอีกคนรู้สึกไม่ดี ส่วนเราซึ่งก็ยังเด็กเหมือนกันเลยเลือกที่จะหนี ทำให้มาทางศิลปะ ชอบวาดรูป เพราะเราไม่ต้องไปเจอใคร อยู่กับตัวเอง ไม่มีคำทัดทาน ดูถูก ถากถาง ไม่ต้องมีคำถามที่เราก็ตอบไม่ได้ เช่น ทำไมมีเพื่อนน้อย พูดอะไรของมึงว่ะ บางทีเราจะมีมุมมองที่เราเข้าใจอยู่คนเดียว แล้วเราก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเขาไม่เข้าใจ แต่จะรู้ว่าเขาคิดว่าเราแปลกอีกแล้ว ประหลาดอีกแล้ว
แต่พอเราโตขึ้น เรียนมหาวิทยาลัยศิลปากรและเป็น Slot Machine ผมรู้สึกชอบ เพราะการเรียนศิลปะคือตัวตนของเรา แล้วก็อยู่แบบที่เลดี้ กาก้า บอกว่า “คุณหัวเราะเยาะที่ฉันไม่เหมือนคนอื่น แต่ฉันกลับขำที่พวกคุณเหมือนกันไปหมด” เราชอบความเป็นตัวเรา แต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยไม่ชอบตัวเองนะ จะมีบ้างที่เฮิร์ท อย่าง แก๊ก (อธิราช ปิ่นนทอง มือเบส วง Slot Machine ) กว่าจะมารักกันเนี่ยแก๊กก็คือหนึ่งในคนที่ทำให้ผมแอบเซ็งหมือนกัน คือผมเป็นคนชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง พอหมดคาบเรียนแล้วเพลงที่ผมร้องได้ดังขึ้น ผมก็จะร้องเต็มที่ แก๊กเขาก็จะหัวเราะเยาะ ขำ ไอ้นี่ร้องจริงจังจังเลย หน้าตาเคลิ้ม เล่นเอ็มวีเหรอ ฯลฯ เราก็เสียเซลฟ์ ถึงวันนี้แก๊กก็ไม่รู้หรอก เพราะผมไม่เคยบอกเขา แต่สุดท้ายก็แก๊กนี่แหละคือคนที่ให้ผมมาร้องเพลง เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกดี และพิเศษ”
พรสวรรค์ที่ต้องฝึกฝน
ในมุมคนฟัง เรนจ์เสียงสูงและกว้างของเฟิดคือพรสวรรค์ แต่ในทางกลับกัน เขากลับคิดว่าความสามารถนี้เป็นเรื่องที่เขา ‘ทำได้’ มากกว่า “ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ว่านี่คือความพิเศษ แค่คิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ทำงานสนุก คิดง่าย เพราะคิดอะไรมา จะสูงหรือต่ำแค่ไหนเฟิดก็ร้องได้ กลายมาเป็นเรื่องของการชอบหรือไม่ชอบ สูงได้นะ แต่สูงแล้วดีไหม เพราะไหม เป็นแบบนี้มากกว่า ตอนนี้สามารถไล่โทนเสียงต่ำได้เยอะขึ้น วัดได้จากที่เฟิดเป็นแฟนเพลงพี่โอ๋ (ธีร์ ไชยเดช) เมื่อก่อนไม่มีเชสโทนเลย ลงมาแค่คาง แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ ตอนนี้พอจะร้องได้แล้ว แต่ถ้าเป็นเสียงสูงจะสูงได้เรื่อยๆ ไปไหนก็ได้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าเป็นพรสวรรค์นะ ไม่ได้พราวว่าเราเหนือกว่าคนอื่น”
เส้นเสียงอักเสบกับการเปลี่ยนวิถีชีวิต
ก่อนจะเป็นเฟิดที่รักการดื่มน้ำเปล่า เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ผู้ชายคนนี้เคยผ่านเวลาจัดหนักมาก่อนจนชีวิตได้ให้บทเรียนบางอย่างเลยทำให้เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น “ตอนที่เรียนเฟิดไม่ดูแลตัวเองเลย ทำงานทุกอย่างหนักมาก ด้วยความที่เป็นคนจริงจัง เครียด ก็เลยสูบบุหรี่จัด ดื่มหนัก พักผ่อนน้อย แล้วยังทั้งเรียนด้วย ทำงานด้วยอีก พอถึงจุดหนึ่งที่พีคมากๆ แล้วไม่มีประสบการณ์ทำให้ไม่สบาย ป่วยเป็นเส้นเสียงอักเสบ ต้องหยุดงานไป 1 เดือน ซึ่งการร้องเพลงไม่ได้เป็นเรื่องที่ผมไม่โอเคมาก เพราะนี่คือเรื่องที่ผมให้ความสำคัญที่สุด ตอนนั้นคิดว่าไม่ได้แล้ว ผมทำอะไรอยู่ นี่คือสิ่งที่รักและต้องการที่สุด แต่ผมกลับทำพังด้วยมือตัวเอง เราต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ จากนั้นถ้าเลือกได้ผมจะดื่มน้ำเปล่า นอนเยอะๆ ไม่ทำอะไรที่จะไปกระทบกับการใช้เสียง ซึ่ง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่ปาร์ตี้ แล้วก็เลิกสูบบุหรี่แบบหักดิบเลย พอโตขึ้นอีกหน่อยกลายเป็นว่าถ้าวันไหนที่ว่างก็จะกลับไปหาเพื่อน อยู่กับคนที่เรารักมากขึ้น ยิ่งตอนนี้คุณพ่อเพิ่งจากไปเลยต้องมีเวลาให้แม่กับน้องมากขึ้นด้วย รวมถึงแบ่งเวลาออกไปแฮงเอาต์มากขึ้น บาลานซ์ตัวเองให้ปกติมากขึ้น”
รักตัวเองให้มากเพื่อที่จะได้ไปรักคนอื่น
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย ถ้ามองดีๆ นี่คือการเรียนรู้แบบที่ห้องเรียนก็สอนเราไม่ได้ “สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวัย 37 คือ การให้อิสรภาพตัวเอง รักตัวเองให้มากเพื่อที่จะไปรักคนอื่นได้ครับ บางคนอ่านแล้วอาจมองว่าผมคิดถึงแต่ตัวเอง แต่การที่เราคิดถึงตัวเองมากขึ้น ปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวังที่ทำให้เราทุกข์ เครียด ก็เพื่อที่จะแบ่งปันให้คนรอบข้างได้มากขึ้น เราต้องมีความรักมากขึ้นเพื่อที่จะแบ่งให้คุณแม่ น้อง คนในครอบครัว คนรัก เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ต้องมีเวลามากขึ้นเพื่อที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองและคนอื่นอย่างคุ้มค่า เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่มีเวลาเพราะว่ามัวแต่ใช้ความคิดเยอะ เอาตัวเองไปอยู่กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง วันๆ คิดถึงแต่เรื่องงาน ซึ่งตอนนี้ผมก็คิดเรื่องงานแต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องอะไรอย่างนั้น อย่างนี้ แค่คิดให้มันได้งานทุกอย่างก็เบามากขึ้น สบายมากขึ้น
ที่ผ่านมาผมจะทำอะไรแค่อย่างเดียวแล้วก็เหนื่อยไปทั้งวัน เพราะเรากดดัน บีบ บังคับ เก็บแรงไว้เพื่อทำสิ่งนี้สิ่งเดียว แต่ทุกวันนี้พอตื่นเช้าขึ้นมา แฟนอยากไปวิ่งก็ไปวิ่ง เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไปวิ่งก่อน เพราะต้องเก็บแรงไว้ทำงาน แต่เดี๋ยวนี้คือ เอาเถอะ แล้วทำให้ดีที่สุดกับปัจจุบัน เหนื่อยไหม ก็เหนื่อยนะ แต่ไม่เท่ากับที่เราคิดไปก่อน หรืออย่างเซิร์ฟสเก็ตบอร์ดนี่เป็นการสร้างสมาธิ คาร์ดิโอด้วย เพราะไม่ได้ไปเล่นท่าอะไร แค่เซิร์ฟไปเรื่อยๆ มากกว่าครับ”
#นักร้องกะน้องรัก
ดูเหมือนไม่มีอะไรที่เฟิดจะจัดการไม่ได้ หรืออย่างเรื่องการทำงานเขาก็เหมือนจะ Born to be กับด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ในเรื่องความรัก เฟิดบอกว่าไม่ถนัดสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นความรักของเขากับ แม็กซีน-อินทิพร แต้มสุขิน เจ้าของ #นักร้องกะน้องรัก ก็ไปได้สวย แถมยังโลกเป็นสีชมพูจนใครๆ ก็สัมผัสได้ “ถ้าเรื่องงานผมรู้ตัวเองว่าอะไร แค่ไหน บริหารได้หมด แต่ในเรื่องความรัก ผมเป็นลูสเซอร์เลยครับ (หัวเราะ) แต่ก็ยังมีความรักอยู่ จริงๆ ยอมรับนะครับว่าเคยท้อ สูญเสียความศรัทธา หมดหวังหรือเคยไปผิดทาง แต่สุดท้ายพบว่าเราแค่เริ่มต้นที่ความรู้สึก ผมไม่เคยคิดนะครับว่าจะกลับมารักใครได้อีก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติ และยังเติบโตขึ้นด้วย เมื่อก่อนถึงแม้ความรักจะดำเนินไปแล้ว แต่ระหว่างนั้นก็ยังกลัวที่จะผิดหวัง แต่ตอนนี้ผมปล่อยวาง และปล่อยให้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่คาดหวังอะไรขนาดนั้นแล้วครับ”
นายแบบ: เฟิด-คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์
สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ
ช่างภาพ: กาซาลอง คำจริง
สถานที่: Caffe Mezzanine @Chalerm La Park
ติดตามเรื่องราวของ “Someonestory.co” เพิ่มเติมได้ที่
Web : http://someonestory.co
Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/
Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/
Twitter : https://twitter.com/someonestoryco