ชีวิตที่หลุดกรอบ (ศิลปิน) ของโต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร

มุมมองความคิดและการใช้ชีวิตของโต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ในวัย 37 เจ้าของเพลง ‘น่ารักอะไรเบอร์นี้’ คือการมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และเอ็นจอยกับทุกช่วงเวลาของชีวิต นั่นเพราะประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ทั้งเรื่องชื่อเสียงที่มีขึ้นลง การสูญเสียคนใกล้ตัวแบบไล่เลี่ยกัน การได้มีคนรู้ใจที่พร้อมโตไปด้วยกันอย่าง ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ฯลฯ ได้นำพาชีวิตเขาให้มองโลกอย่างเข้าใจ ตรงไปตรงมา และหลุดออกจากกรอบของความเป็นศิลปินที่ถูกเซ็ทเอาไว้อย่างหนาแน่น 

เป้าหมายในวันนี้ของโต๋จึงไม่ใช่แค่การสร้างงานเพลงออกมาให้ฟังกันเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการสร้างครอบครัวและดูแลคนใกล้ชิดอย่างดีที่สุดอีกด้วย 

ในวันที่โต๋เดินออกจากกรอบ

ผมเติบโตมากับความเป็นนักดนตรี ซึ่งเพลงก็จะมีฟิกซ์บางอย่างว่าเราต้องเล่นเปียโน มีกรอบชัดเจน เพราะว่านี่คือเซฟโซน แล้วเราก็ใช้ชีวิตแบบคนที่มุ่งมั่นในการสร้างผลงานแบบแทบไม่มองอย่างอื่น ฝึกซ้อมอย่างหนัก เหมือนกับวิ่งเต็มที่เพื่อขึ้นไปบนเขา แต่พอเราได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นจริงๆ ได้มองเห็นวิวต่างๆ ที่สวยงาม เราก็พบว่า จริงๆ เราอยู่บนนั้นไม่ได้นาน อากาศก็ไม่ได้มีเยอะก็เลยต้องเดินลง แล้วเตรียมตัวที่จะขึ้นลูกใหม่ ซึ่งพอได้ขึ้นลงภูเขามาหลายลูกก็ทำให้เข้าใจว่า ความสุขไม่ได้อยู่ที่เราต้องอยู่ที่ยอดเขา ความสุขไม่ได้แปลว่าประสบความสำเร็จเสมอไป แต่ความสุขคือการที่เราต้องเอ็นจอยกับทุกจังหวะชีวิตให้ได้ เช่น ตอนที่วิ่งขึ้นก็ต้องเอ็นจอยกับความเหนื่อย ตอนที่ประสบความสำเร็จก็เอ็นจอยกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามา แต่วันที่เดินลงก็ต้องเอ็นจอยให้ได้เหมือนกัน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย) ถือว่าเป็นการพักผ่อนเพื่อวันหนึ่งเราจะต้องเตรียมตัวเดินขึ้นใหม่ พอทำแบบนี้ได้นานๆ เข้า ในที่สุดเราก็จะไม่เอาชีวิตไปแขวนอยู่บนคำว่า ‘ความสำเร็จ’ แต่จะเป็นการมีความสุขในระหว่างทางได้เลย ซึ่งตอนนี้ผมเป็นอย่างนั้น เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไร หรือโปรเจ็กต์ไหน ผมจะแฮปปี้ในการทำ เรียกว่าชิงมีความสุขก่อนเลยครับ  

รับมือกับความผิดพลาดได้สบายขึ้น

การที่ผมหลุดออกจากกรอบใสๆ ได้ออกไปทำงานที่ไม่คิดว่าผมจะทำ ทำให้ผมสนุกมากเลยครับ อย่างเล่นละคร ละครเวที หรือช่วงนี้ก็จะเห็นผมเป็นคอมเมนเตเตอร์ในรายการทีวี เห็นผมในออนไลน์ เป็นอะไรที่ผมก็คิดนะว่าทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว(หัวเราะ) เวลาไปถ่ายรายการเกษียณสำราญกับคุณแม่ หรือไปเป็นกรรมการในรายการเพลงเอกซึ่งเป็นเพลงผู้ใหญ่ ผมจะชอบมากเพราะก็เป็นตัวเราอีกมิติหนึ่ง หรือการที่ได้เป็นคณะกรรมการในรายการซูเปอร์ 10 ซูเปอร์ 60 หรือ ซูเปอร์ 100 ผมก็มีความสุขมาก ดูทุกคนที่มาในรายการแล้วเราเองก็ได้แรงบันดาลใจไปด้วย หรือสำหรับงานเพลง ใครจะคิดว่าผมจะออกเพลงเต้น (หัวเราะ) แต่นี่ก็คือสิ่งที่บอกว่าผมได้เดินออกจากกรอบแล้วเหมือนกัน และตอนนี้ผมก็สามารถขึ้นเวทีได้ด้วยความไม่เครียด ไม่กังวลอีกด้วย มันต่างจากเมื่อก่อนที่รู้สึกว่าขึ้นไปต้องเล่นให้ดี เล่นให้เพอร์เฟ็กต์นะครับ ตอนนี้เวลาขึ้นเวทีไม่ว่าวันนี้จะทำได้เต็มร้อย หรือได้ 80 ผมก็จะกลับบ้านอย่างมีความสุข โอเคในการผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ผมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้ครับ

เวลาของทุกคนต่างมีจำกัด

ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 มา ผมเจอเรื่องราวอะไรมาเยอะ ซึ่งเรื่องหนึ่งที่ย้ำเตือนกับสิ่งที่ผมรู้สึกคือ เวลาของเราทุกคนมีวันหมด ผมต้องเจอกับการจากลาหลายๆ ครั้งที่ไม่ได้ตั้งตัว แล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมเวลามันเดินเร็วขนาดนี้ วันนี้เราเจอกัน แต่จู่ๆ อีกวัน เราไม่สามารถทักคนนี้ได้อีกแล้ว ในปีที่ผ่านมาผมไปงานของคุณแม่ไบรท์, พี่วิ (ผู้จัดการส่วนตัว), พี่อ๊อด คีรีบูน ซึ่งเรื่องเหล่านี้เมื่อก่อนผมอยู่ไกลมาก แต่พอได้อยู่ใกล้แล้วก็เห็นเลยว่า ชีวิตคนเรามันเท่านี้เอง นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกเก็ทจริงๆ เลยว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตก็คือเวลา ต่อให้เราเสียเงินไปก็หาเงินใหม่ ‘เวลา’ เป็นสิ่งเดียวที่ต่อให้มีเงินขนาดไหนก็ไม่สามารถซื้อได้ ไม่สามารถซื้อเวลาย้อนกลับไปอยู่กับเขาอีกได้เลย พอเข้าใจตรงนี้เลยทำให้ผมเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ของคน โมเมนต์ที่เจอกัน โมเมนต์ที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วยังเห็นคนในครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง เราไปทำงานแล้วเจอคนที่แข็งแรงอยู่ วันนี้ได้ออกไปเล่นคอนเสิร์ต ออกไปสัมภาษณ์ ได้เจอคนที่มาดู แฟนๆ หรือคนเข้ามาพูดคุยกัน เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสกลับมาเจอกันอย่างนี้อีกหรือเปล่า 

9 ปีของโต๋-ไบรท์ จากเพื่อนรู้ใจกลายมาเป็นทีมเวิร์ก

คนหนึ่งที่ทำให้ผมออกจากกรอบของศิลปินได้คือไบรท์ครับ นี่เป็นอีกหนึ่งคนที่ทรงอิทธิพลในชีวิตผมเลย เราคบกันมา 9 ปีแล้ว และได้ขอหมั้นแล้วกับคุณแม่ของไบรท์ ระหว่างครอบครัวเราคือคุยกันเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้จัดงานแต่งอย่างเป็นพิธีจริงจัง เพราะติดเรื่องโควิด-19 ตอนรู้จักกันแรกๆ ผมไม่มีความคิดที่จะจีบคนนี้เลย ดังนั้นเราเลยเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน ทำให้คุยกันได้ทุกเรื่อง กลายมาเป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน จนวันนี้กลายมาเป็นคู่คิดให้กันและกัน ถึงจะอยู่ต่างอาชีพ แต่ก็จริงจังในงานเหมือนกัน แล้วก็คอยเป็นกระจกส่องให้กับอีกคนด้วย บางอารมณ์ไบรท์ก็เป็นแม่บ้าง (หัวเราะ) เพราะบางเรื่องเขารู้มากกว่าผม ซึ่งรู้สึกว่าโชคดีที่ได้เจอคนแบบนี้ครับ เพราะว่าเราช่วยกันทุกอย่าง 

ถ้าให้ยกตัวอย่าง คือตอนที่ผมยังวิ่งหาความฝันอย่างเดียว เป็นศิลปินที่เป็นกึ่งไอดอลนิดๆ ต้องไม่ค่อยไปไหน ต้องไม่มีข่าวกับใคร ไม่ได้ไปเดินกับใคร ชินกับการทำตามความฝัน ไบรท์คือคนที่ดึงผมเข้ามาสู่โลกความจริงครับว่าชีวิตจริงเป็นยังไง ผมไม่จำเป็นต้องสวมหมวกคำว่าศิลปินตลอดเวลาก็ได้ ผมเป็นคนธรรมดา สามารถกลับมาใส่หมวกลูกตอนอยู่บ้าน สามารถแพลนอนาคต เริ่มดูแลคนรอบข้าง นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยได้ กินข้าวกับแฟนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็นได้ คือเมื่อก่อนผมเป็นไงครับ ต้องคอยระวังตัว ซึ่งไบรท์เขาเลยบอกมาว่าถ้าเป็นแบบนี้เขารับไม่ได้นะ คือมีหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจกัน ผมก็เลยบอกเขาว่าขอเวลาปรับตัวหน่อย ค่อยๆ โตไปด้วยกันนะ นอกจากนี้ไบรท์ยังทำให้ผมเห็นว่าเขาสามารถมีความสุขได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จด้วย เพราะชีวิตจริงของเราคือคนในครอบครัวและคนรอบข้าง ไม่ว่าเราจะออกไปเจออะไรในแต่ละวัน สุดท้ายคือเราต้องกลับบ้านครับ นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันจริง เลยทำให้ผมนึกถึงคนอื่นมากขึ้นนึก ดูแลคนในครอบครัวมากขึ้น เรื่องนี้เปลี่ยนได้ก็เพราะไบรท์นี่แหละครับ แล้วผมคิดว่ายุคนี้มันหมดไปแล้วกับคำพูดที่ว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงต้องก้าวตาม สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกว่าผู้หญิงสมัยนี้เก่งและมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมคิดว่าการที่เราอยู่คู่กันมันคือเป็นทีมเวิร์ก และยังเป็นการให้เกียรติผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆ เราด้วยครับ  

คุณพ่อคือ Role Model

ผมมีวันนี้ได้ก็มาจากความอบอุ่นในครอบครัวครับ คุณพ่อ คุณแม่ ท่านดูแลผมดีมากๆ ตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อเป็นคนที่ให้ผมเรียนเปียโน แต่ไม่เคยสนับสนุนให้ผมเข้าวงการ นี่คือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจผิดมาตลอด เพราะหลายคนจะรู้สึกว่าพ่อต้องดันให้เข้าวงการแน่เลย ซึ่งจริงๆ พ่อบอกว่าชีวิตสงบๆ น่ะ ดีแล้ว แต่วันที่เราเข้ามา พ่อก็บอกว่าจะคอยดูแลให้ ทุกวันนี้เราโตแล้ว คุณพ่อก็ให้ผมดูแลตัวเอง แต่เรารู้สึกว่าเรามีทิศทาง เพราะตอนที่คุณพ่อมีผมซึ่งน่าจะเป็นตอนอายุ 30 กว่า คุณพ่อลดเรื่องการเล่นดนตรีลง เพื่อจะมีเวลาให้กับครอบครัว เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจมากๆ เลย คิดได้ว่า อ๋อ ชีวิตจริงมันก็เป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าต่อไป เราควรต้องลดบทบาทในเปอร์เซ็นต์ของงาน อาจลดหมวกของความเป็นศิลปินลง และใส่หมวกของหัวหน้าครอบครัวที่ดี ลูกที่ดูแลคุณพ่อคุณแม่มากขึ้น นี่คือเป้าหมายที่ผมอยากทำให้ได้ในทุกวันนี้ ท่านก็เลยทรงอิทธิพลมากครับ แล้วคุณพ่อก็พูดกับผมมาตลอดตั้งแต่เข้าวงการแล้วครับว่า ชื่อเสียงอะไรแบบนี้มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ทุกอย่างมีวันหมด มีเรื่องอื่นที่เราต้องทำต่อ ซึ่งวันนี้ผมเข้าใจแล้วครับ 

Music Education อีกเป้าหมายในชีวิต

จากเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร เป็นอะไร ซึ่งเป้าหมายในอนาคตที่ผมอยากทำก็คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรี เล่นเปียโนในสไตล์ที่ผมชอบ และอยากทำเกี่ยวกับ Music Education ครับ ผมอยากทำเรื่องเกี่ยวกับดนตรีที่ได้ให้ความรู้กับเด็กๆ กับรุ่นน้องๆ เพราะดนตรีได้มอบอะไรหลายๆ อย่างให้กับชีวิตของเรานะครับ และผมอยากให้เด็กๆ มีความสามารถในเรื่องนี้ เพราะในอนาคตพวกเขาจะช่วยพัฒนาวงการเพลงได้ ซึ่งนี่คือหนึ่งแพสชั่นของผมครับ

นายแบบ: ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: @Qller

ติดตามเรื่องราวของ “Someonestoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%