อุ๋ย บุดดาเบลส “ความเป็นปกติ” คือความสุขที่แท้จริง

ก่อนที่ใครๆ จะรู้จักเขาในนาม อุ๋ย บุดดาเบลส ที่มาพร้อมเพื่อนอีก 2 คนและเสื้อผ้าสีสันแสบทรวงแดง เหลือง เขียว กับเพลงสไตล์ฮิปฮอป ที่มีเนื้อหาคำสอนแนวพุทธศาสนาสอดแทรกอย่าง ใจเย็น ลำยอง ชิงหมาเกิด ย้อนเวลากลับไปหลายปีก่อน ผู้ชายคนนี้คืออุ๋ย-นที เอกวิจิตร หนุ่มอารมณ์ร้อนและร้าย ที่มั่นใจกับเหตุและผลของตัวเอง จนหลายครั้งมักแสดงออกอย่างก้าวร้าว รักแรง เกลียดแรง แค้นนาน โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก!

แต่เมื่อถึงวันที่ชีวิตถึงจุดเปลี่ยน เขาจึงอยากทดลองปฏิบัติธรรมเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามบางอย่างในใจ ที่นั่นอุ๋ยพบโลกอีกใบที่ทำให้เข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรียนรู้ พัฒนาให้เท่าทันความทุกข์ที่ขยันเข้ามาทักทาย แบบรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง บอกเลยว่าอุ๋ยในวันนี้ดูห่างไกลจากผู้ชายอารมณ์ร้ายคนนั้นมาก

อดีตเคยร้ายของผู้ชายสายแร็ป

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนดื้อ ก้าวร้าว เอาแต่ใจครับ ร้ายขนาดที่ ถ้าแม่ตี ผมตีคืน ผมไม่ยอมเลย ถ้ารู้สึกว่าไม่ผิด เวลาเขาจับไปขังห้องน้ำ ผมจะกวาดทุกอย่างที่อยู่หน้ากระจกให้มันตกลงมาแตกให้มันพัง เขาจะได้มาเปิดประตู ผมเป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรง ใช้อารมณ์ ชอบความสะใจ ต่อต้านเรื่องประเภท “เด็กต้องฟังผู้ใหญ่” ตอนเด็กๆ พอได้ยินคำๆ นี้ ผมรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ออกกฎหมายให้คนอายุเยอะถูกไปเลยสิ ถูกคือถูก ผิดคือผิด ไม่เกี่ยวกับอายุ แต่พอโตขึ้นแล้วกลับมาย้อนคิดก็พบว่า หลายครั้งเหตุผลคือข้ออ้าง แค่อยากได้ตามใจเรา แล้วก็พยายามหาเรื่องโดยใช้คำว่า “เหตุผล” มาซัพพอร์ตความต้องการของเราเอง

พบจุดเปลี่ยนจนอยากพิสูจน์

จุดเปลี่ยนของผมจะค่อยๆ ซึมมาเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้เป็นการกระแทกครั้งเดียวแบบแรงๆ เริ่มจากที่ผมโดนเลี้ยงแบบสบายมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการสปอยล์ มีคนคอยทำอะไรให้ตลอด พอโตขึ้นช่วงวัยรุ่น ที่บ้านเริ่มเศรษฐกิจไม่ดี ตอนเข้ามหาวิทยาลัย กลายเป็นต้องโหนรถเมล์ไปเรียน และทำงานไปด้วย ต้องปรับตัวเยอะ เพราะจมไม่ลง หลังจากเรียนจบ บ้านมาไฟไหม้อีก ผมเลยลองไปปฏิบัติธรรมดู อยากให้แม่สบายใจด้วยครับ แล้วเราเองก็เหมือนอยากลองอยากรู้ อยากพิสูจน์ด้วย ไม่ได้ไปเพราะความเชื่อ แต่การไปครั้งนั้นกลับทำให้ผมเข้าใจศาสนาพุทธมากขึ้น เข้าใจว่าศาสนาสอนอะไร อะไรที่เป็นแก่น อะไรที่เข้าใจผิดที่คิดว่าเป็นศาสนาพุทธแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการปรับทัศนคติ กลับไปกลัดกระดุมเม็ดแรกใหม่ให้ถูกต้อง พอกลับมา ผมเข้าไปกราบเท้า เข้าไปกอดคุณแม่เลยครับ ท่านเองก็แฮปปี้มาก แต่ช่วงนั้นผมได้กลายเป็นคนที่เปลี่ยนไปแบบสุดโต่ง เช่น ออกมาก็ทำอะไรช้าๆ คิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นไปเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น อย่างเช่น เปรียบเทียบกับเพื่อนที่ยังกินเหล้า แล้วมันก็สวิงกลับมาเกือบจะเท่าเดิม คืออารมณ์ร้อน รุนแรง ฉุนเฉียว แต่ก็ยังมีศีลกั้นอยู่บ้าง ยังไม่กลับไปสำมะเลเทเมาเหมือนเดิม เหวี่ยงไป เหวี่ยงมา แล้วค่อยๆ เจอบาลานซ์ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาครับ

ความบาลานซ์ของโลกสองใบ

สมัยก่อนที่ทำเพลงใต้ดิน ผมใช้ภาษาหยาบคายมาก แต่พอไปบวชกลับมา ผมไม่อยากทำแล้วพอทำบุดดาเบลสก็เลยมีเส้นกั้นให้ตัวเองเลยว่า เพลงต้องไม่มีคำหยาบคาย เราจะไม่ชวนคนลงสู่ที่ต่ำ แต่สนุกสนาน บันเทิง ปกติได้ จึงกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ทำงานยากกว่าเดิม แต่เมื่อเลือกแล้วก็ลองดู หรือถ้างานไหนมีแอลกอฮอล์เป็นสปอนเซอร์ เราก็แค่ไปทำหน้าที่ร้องรำทำเพลง ถ้าเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ ผมก็ขึ้นห้องไปพักผ่อน ไม่ได้ไปเที่ยวต่อ หรือเวลาคนยื่นแก้วเหล้าให้ก็ชัดเจน บอกเขาว่า “ไม่ดื่มครับ” ผมพูดจริงจัง แค่นี้ก็น้อยมากที่จะมาคะยั้นคะยอ อาจเพราะหน้าตาผมด้วยมั้งครับ บางทีผมพูดเล่น คนยังนึกว่าพูดจริงเลยครับ

เพลงคือแรงบันดาลใจ

เพลงกับการปฏิบัติธรรมไปด้วยกันได้ครับ มีเพลงหลายๆ เพลงที่นอกจากให้ความไพเราะทางด้านดนตรี ยังให้ข้อคิดด้วย เช่น เพลงฤดูที่แตกต่าง ของพี่บอย โกสิยพงษ์ เป็นความจริง เป็นสัจธรรม ทุกอย่างเกิดขึ้น เปลี่ยนไป เหมือนฤดู แล้วอีกไม่นานก็ต้องหายไป ฟังแล้ว เรายังรู้สึกดีขึ้นได้ คลายทุกข์ได้ จิตจากที่เป็นลบ กลับมาเป็นบวก เป็นปกติได้ นอกจากนี้ยังมีเพลงอื่นๆ ที่ผมรู้สึกชื่นชอบเหมือนกัน เช่น ความเชื่อ ของบอดี้สแลม, Live & Learn ของพี่บอย โกสิยพงษ์, ง่ายดาย ของ Street Funk Rollers, ตราบลมหายใจสุดท้าย ของพี่ปาน ธนพร แวกประยูร, วีณาแกว่งไกว ของอัสนี & วสันต์ ฯลฯ หรือจากดนตรี จากภาพยนตร์ก็มีเหมือนกัน ศิลปะก็เป็นสื่อธรรมะอย่างหนึ่งได้ อยู่ที่เราเลือกใช้ครับ

ถอนพิษรักด้วยยาแรง

ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความรักมากกว่าเรื่องงานในหลายๆ ช่วงของชีวิต เลยรู้สึกว่าเวลามีปัญหาความรักเกิดขึ้น เราจะทุกข์กับมันมาก แต่ไม่ได้ทุกข์เพราะความรักนะครับ ทุกข์เพราะความยึดมั่น ถือมั่นกับความรัก ไม่อยากให้เปลี่ยนไป ความรักจริงๆ ไม่ได้ทำให้เราทุกข์แต่ที่ทุกข์เพราะผมไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันสวนทางกับกฎธรรมชาติมาก

เวลาเจอเรื่องผิดหวังจากความรัก ผมจะเผชิญกับมัน จะไม่หลบไปใช้เหล้าหรือยา ที่ทำให้เบลอเพื่อหนี เพราะถ้ายิ่งหนีด้วยวิธีนั้น ก็จะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรายอมใช้ยาแรง เผชิญความรู้สึกนั้นอาจทุกข์ทรมานในช่วงแรก แต่สุดท้ายก็จะค่อยๆ จางไป และสิ่งที่ไปเติมเชื้อไม่ให้ดับสักทีก็คือความคิดเรา ที่เผลอคิดถึงอดีตที่ดี หรือว่าไปกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เช่น เราจะอยู่ยังไง เคยคิดวางแผนกันไว้แบบนั้น แบบนี้ ผมจะคอยเตือนตัวเองเวลาเผลอไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต ฝึกกลับมาอยู่กับปัจจุบัน รู้สึกตัว ไม่จมไปอยู่ในความคิด เพราะเห็นแล้วว่า ผมไม่ได้ทุกข์เพราะเขาทิ้งเราไป หรือต้องพรากจากกัน ผมทุกข์เพราะผมไปอยู่ในความคิดตัวเองที่วนเวียนอยู่แบบนั้น ก็ต้องดึงตัวเองออกมาอยู่กับปัจจุบัน พยายามทำให้ต่อเนื่องให้ได้นานที่สุด เป็นเกมที่เราต้องทำมันไปเรื่อยๆ แล้วช่วงที่อยู่กับปัจจุบันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ส่วนช่วงที่อยู่ในความคิดจะค่อยๆ ลดน้อยลง จากนั้นเราก็ได้เรียนรู้ว่า ยังไงก็ไม่ลืม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมเช่น บางสถานที่ที่รู้สึกว่ากลับไปไม่ได้ วันหนึ่งก็กลับไปกินข้าวเมนูเดิมที่เคยกินด้วยกัน เหมือนกับแผลร่างกาย ทายาวิเศษแค่ไหน เย็บด้วยหมอ เก่งแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาถึงจะหาย เรื่องจิตใจเหมือนกันครับ ต่อให้ฝึกปฏิบัติธรรมแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาช่วยด้วย

 เรียนรู้ชีวิตจากผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ผมได้ไปร่วมโครงการที่ทำให้คนตระหนักถึงความตาย เผชิญความตายอย่างสงบ สำหรับผู้ป่วยและคนที่ยังไม่ป่วย เป็นเหมือนมรณานุสติในศาสนาพุทธที่คิดว่าคนเราตายได้ทุกลมหายใจ ยิ่งเราตระหนักถึงความตายมากแค่ไหน ก็ยิ่งเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มากแค่นั้น ซึ่งเวลาไปทำโครงการแบบนี้ จะเห็นว่าหลายคนเขาไม่ได้สนใจกับเรื่องว่า วันนี้จะทำเล็บสีอะไร น้ำหนักฉันเยอะเกินไปหรือเปล่า อะไรที่เรามองเป็นเรื่องใหญ่ เขามองว่าเป็นเรื่องเล็กไปเลย สิ่งที่ผมได้จากการทำโครงการนี้คือทำให้เราฉุกคิดในหลายครั้งเมื่อเครียดกับบางเรื่อง เช่น ถ้าพรุ่งนี้เราจะตาย หรือหมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง เราจะยังเครียดเรื่องนี้อยู่ไหม ผมก็ตอบตัวเองกลับมาว่าไม่ว่ะ แล้วก็คลายความเครียดได้เยอะเลย รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เป็นอุบายให้คลายจากทุกข์ อีกทั้งได้สะท้อนตัวเองด้วยครับว่า ถ้าถึงวันที่เราเข้าไปที่เดียวกับเขา จะรู้สึกอย่างไรสามารถตัดทุกอย่างตามที่คาดหวังไว้ได้ไหม ความเป็นห่วงคนรัก เป็นห่วงครอบครัว ห่วงนั่นนี่เราจะปล่อยใจสบายๆ ได้ไหม ผมรู้สึกว่ามันยากเหมือนกันนะครับ

ความไม่แน่นอน และมุมมองที่ได้จาก โควิด-19

จากเรื่องโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่า ความไม่แน่นอนคือเรื่องจริง ผมได้มีโอกาสไปถ่ายรายการกับครอบครัวที่เป็นนักบิน ซึ่งเมื่อก่อนเคยคิดว่าอาชีพนักบินเป็นอาชีพที่มั่นคงมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นตกงานกันทั้งครอบครัว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เรื่องความไม่แน่นอนจึงเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ครับ พอมองกลับมาที่ตัวเองว่าจะทำตัวอย่างไรกับความไม่แน่นอน คำตอบคือผมพยายามใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเพราะได้มีโอกาสทบทวนชีวิตตัวเองในวัยเด็ก ช่วงที่ต้องปรับตัว กำลังจมไม่ลง จากเด็กที่โดนสปอยล์มาก่อน แล้วมาลำบาก ช่วงนั้นผมเครียดเรื่องอนาคต ตอนนั้นเหมือนคนอยู่ก้นเหวแล้วไม่รู้ว่าจะขึ้นมาอย่างไร คิดแต่ว่าจะกลับขึ้นไปมีชีวิตแบบนั้นได้อย่างไร พอมาถึงวันนี้ผมก็ถามตัวเองอีกว่าทุกวันนี้มีความกังวลอะไรลึกๆแล้วก็พบว่ายังกังวลกับอนาคตเหมือนเดิม อ้าว อย่างนี้เมื่อไหร่จะพอ แล้วชีวิตตอนนี้ของเราหายไปไหน ขนาดฝึกปฏิบัติธรรมแล้วเราก็ยังคิดเรื่องนี้นะครับ และในเมื่ออนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน กำหนดไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำตอนนี้เลยคือพยายามอยู่กับปัจจุบัน ทำเหตุที่ควรจะต้องทำไป ผลจะเป็นอย่างไรกับอนาคตก็สมควรแก่เหตุเอง

นายห้างจากค่าย PROM+

ความจริง ผมคิดชื่อค่ายเพลงว่า คิดบวกครับ มี 2 ความหมาย คือคิดจะบวกหรือคิดในแง่บวกก็ได้ แต่ตอนนั้นพี่บอย โกสิยพงษ์ ยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ใน LOVEiS Entertainment ซึ่งพี่บอยได้แสดงความคิดเห็นว่า ชื่อดูเด็กไปเพราะเวลาเขียนภาษาอังกฤษจะเขียนเป็น Kid+ และแนะนำให้ปรับมาเป็น PROM+ ครับ มีความหมายคล้ายกัน คือพร้อมที่จะบวก อย่างที่คนอื่นคิด หรือพร้อมที่จะไปรวมฟีเจอริง ร่วมงานกับใครก็ได้ หรือพร้อมที่จะคิดบวกก็ได้เหมือนกัน ตอนนี้ในค่ายเรามีนายนะ ทศกัณฑ์ น้องไข่มุก (รุ่งรัตน์ เหม็งพานิช) ซึ่งตอนแรกอยากทำให้เป็นแร็ปฮิปฮอป แต่ผมเองก็ไม่ใช่สไตล์ฮิปฮอปขนาดนั้น น้องๆ ที่อยู่กับผมก็ไม่ได้เป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนั้น เลยคิดกันว่าถ้าทำเพลงเพราะ ทำเพลงสนุกได้ก็ทำเพลงแนวที่เราฟังแล้วรู้สึกชอบ ไม่ต้องไปจำกัดความกับตัวเองว่าเป็นอะไร อีกอย่าง ผมไม่ได้อยากทำเพลงหยาบ เถื่อน แรงเหมือนสมัยเด็กๆ ที่ตอนนั้นเคยคิดว่ามันเรียลแล้วครับ เพราะว่าผมมีหลาน ถ้ามาร้องเพลงที่ใช้คำหยาบคายคงรู้สึกเขินเขา หรือถ้าเขาร้องออกมาจากปาก ผมคงรู้สึกไม่ดี เลยคิดว่าพยายามทำเพลงเพราะ เพลงทะลึ่ง ทะเล้น สนุกสนาน ได้บ้างครับ

คิดวางแผน ไม่ใช่คิดฟุ้งซ่าน

คนชอบเข้าใจผิดคิดว่าการอยู่กับปัจจุบันคือการห้ามคิดถึงอนาคต ไม่ใช่นะครับ สมองคนเรามี2 แบบ คือตั้งใจคิด กับเผลอคิด การวางแผนบริษัทหรือการวางแผนในอาชีพคือการตั้งใจคิดแต่การเผลอคิดคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ อยู่ดีๆ นั่งรถ หรือขับรถอยู่ นั่งนึกถึงคนที่มันเคยด่าเรานึกถึงข่าวที่เราอ่านแล้วรู้สึกไม่ชอบ แล้วคิดต่อไป นี่คือความทุกข์ที่มาจากการเผลอคิด แต่การตั้งใจคิด ทำมาหากิน ไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์ แต่เป็นการวางแผน เป็นความคิดที่ควรจะต้องมี ศาสนาพุทธ ไม่ได้ปฏิเสธความคิดแบบนี้ และสนับสนุนด้วยซ้ำ ผมเองก็เข้าใจผิดเรื่องนี้มาเป็น 10 ปี จนผ่านกระบวนการที่ทำให้เราเผลอคิดและตั้งใจคิด เลยเข้าใจว่า การอยู่กับปัจจุบันเหมาะกับการเรียกตัวเองกลับมาในช่วงที่เราเผลอคิดถึงอนาคต เผลอคิดถึงอดีต แต่เมื่อไหร่ที่ตั้งใจคิดและวางแผนการในอนาคต ทำเลยครับเพราะเป็นสิ่งที่ควรคิดครับ

ความสุขที่แท้จริงกับเป้าหมายที่ตั้งใจ

“ความเป็นปกติ” สำหรับผมคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ เพราะความสุขจากอย่างอื่น วันหนึ่งก็ต้องหายไปแล้วก็กลายเป็นความทุกข์ ผมเลยอยากฝึกตัวเองให้ “เวลาขึ้นไม่หลง เวลาลงไม่ท้อ” ฟังแล้วอาจดูน่าเบื่อ เหมือนเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์เลย แต่ความจริงทำไม่ได้ตลอดหรอกครับ เราก็มีดีใจเสียใจ แต่ผมเห็นแล้วว่าเราไม่ได้อยากกลับไปเป็นเหมือนตอนเด็ก ที่เสียใจก็จมดิ่ง ฟังเพลงเศร้าแล้วยิ่งทุกข์ขึ้นไปอีก หรือดีใจก็สุดเหวี่ยง ซึ่งถ้าวันหนึ่ง ผมขึ้นไม่หลง ลงไม่ท้อ ได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรในโลกนี้แล้ว เพราะชีวิตที่เป็นปกติได้เรื่อยๆ นั่นคือความสุขที่แท้จริงนะครับ

นายแบบ: นที เอกวิจิตร

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%