ต๋อง อภิชา เรื่องราว ดุ เด็ด เผ็ด มัน ก่อนจะถึงฝั่งฝันของผู้ชายที่บอกตัวเองว่าเขานี่แหละ Loser!

ต๋อง-อภิชา สุขแสงเพชร คือคนที่คร่ำหวอดในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน เขาเป็นหนึ่งใน Music Director ของรายการดังระดับโลกอย่าง The Voice Thailand ในทุกซีซั่น เป็นหนึ่งในสมาชิกของวง The Begins ที่นำเสนอเพลงสไตล์ Rhythm & Disco อีกทั้งยังมีผลงานในฐานะศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด LOVEiS Entertainment อย่างเพลง “อยู่ๆ ฝนก็ตก” ล่าสุดเขายังก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารค่าย Alley 1 Records มีศิลปินในสังกัดอย่าง KEVN, เอส-ชัยณรงค์ พรหมบุบผา ฯลฯ และยังร่วมงานบิ๊กโปรเจ็กต์ของ GMM Grammy และช่องวัน 31 ที่จับตัวท็อปมาปะทะฝีมือกันใน Sun and Moon Project  ดูแลเรียบเรียงทำนองในเพลง “ไม่รู้จบ” ร้องโดย Dome Jaruwat x Aof Pongsak ฯลฯ นอกจากฝีมือทางด้านดนตรีจะถือว่าเป็นคนที่หาตัวจับได้ยาก ในเรื่องเส้นทางชีวิตของเขาก็จัดจ้าน จนถ้าจะเปรียบเป็นนิยายสักเรื่อง ก็คงดุ เด็ด เผ็ด มัน ที่รวมทั้งดราม่าและการผจญภัยไว้อย่างเต็มอรรถรส และถึงแม้จะใช้ชีวิตแบบไปสุดขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้กลับบอกว่าเขานี่แหละ “Loser” ตัวจริง เสียงจริง!  ถึงวันนี้ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังคงอยู่ เพียงแต่เมื่อไหร่ที่เกิดขึ้น เขาจะยอมรับแบบตรงไปตรงมา เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความกล้า พร้อมปรับปรุงตัวเองจนทำให้สามารถก้าวไปถึงฝั่งที่ตัวเองวาดฝันไว้จนได้

จุดเริ่มต้นของ Loser

ตั้งแต่เด็ก ผมเป็นเด็กอ้วน ขี้เหร่ ความมั่นใจในตัวเองเป็นศูนย์ครับ ผมเป็น Loser ที่ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ขี้กลัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำแล้วไม่กลัวคือดนตรี ผมชอบดีดกีตาร์ ร้องเพลง แต่ทางบ้านไม่สนับสนุน เพราะดนตรีสำหรับคนยุคก่อนคือการเต้นกินรำกิน ไม่มีความยั่งยืน ไม่สามารถพึ่งพาและฝากชีวิตได้ อีกอย่างฐานะทางบ้านก็ไม่ค่อยดี ผมเลยเลือกเรียนช่างไฟฟ้าเพื่อเป็นการเซฟค่าใช้จ่ายของที่บ้าน แต่ความจริงผมชอบศิลปะ ชอบดนตรีครับ ดังนั้นระหว่างที่เรียนช่างไฟฟ้า ผมเลยไม่ได้สนใจว่าตัวเองกำลังเรียนอะไรอยู่ พอเข้าไปเรียน ก็ไปอยู่ชมรมดนตรี ตอนเรียนปวช. ปี 1 ผมได้มีโอกาสไปประกวดแล้วชนะ อาจารย์ท่านหนึ่งที่ชอบเรื่องดนตรีเลยชวนผมไปเป็นมือกีตาร์ประจำชมรมดนตรีและร้องเพลงด้วย ตรงนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เข้ามาเล่นเป็นนักดนตรีอาชีพ จากนั้นก็เริ่มไปเป็นนักร้องตามร้านต่างๆ แถวปทุมธานี จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นมือกีตาร์ประจำหมู่บ้านเริ่มเห็นช่องทางในการเล่นดนตรีตอนกลางคืน เลยชวนผมไปเล่นด้วย เราก็ตอบตกลง เพราะตอนนั้นมีความคิดว่าอยากพึ่งพาตัวเอง ไม่อยากรบกวนทางบ้านครับ

ไปเมืองนอกด้วยเงิน 120 บาท

ผมเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ จนได้รู้จักเจ้าของร้านอาหารที่เรียนจบจากอเมริกาแล้วชอบดนตรีเหมือนกัน เราคุยกันถูกคอมาก พอวันหนึ่งเขาติดต่อถามว่าอยากไปเล่นเมืองนอกไหม เขาจะไปเปิดร้านที่ซานฟรานซิสโก ผมก็ตอบตกลงทันที แล้วเราก็ดำเนินเรื่องเลย ตอนนั้นขายทุกอย่างทิ้ง ตั้งใจว่าจะไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เมืองนอก ก่อนไปก็เอาเงินบางส่วนไปเที่ยวกับเพื่อน แต่อีกส่วนหนึ่งผมเอามาซื้อทองให้กับพ่อ ตอนไปเราก็แค่เดินไปบอกเขาว่าไปแล้วนะ จำได้ว่ามีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าสตางค์ตัวเองแค่ 120 บาท แต่ผมไม่ได้คิดอะไรยุ่งยาก โชคชะตาพาไปไหนฉันก็ไป

ช่วงชีวิตที่พลิกแบบฝุ่นตลบ

พอไปถึงซานฟรานฯ ก็ได้เจอหุ้นส่วนของคนที่คุยกับผม ตรงนั้นแหละที่ทำให้ผมได้รู้ว่าความจริงแล้ว ร้านยังไม่มีเลยนะ เป็นการพูดคุยกันเฉยๆ แต่ว่าผมกับอีก 2 คน เป็นพนักงานเซ็ตแรกที่ไปอยู่ที่นั่นแล้ว! สรุปคือเราต้องไปอยู่บ้านที่เขาออกเงินเช่าให้แล้วก็แลกที่อยู่อาศัยด้วยการทำอะไรก็ได้ที่ให้ไปทำ เช่น ไปล้างจาน สลับวันกับเพื่อน ไปช่วยทำความสะอาดบ้าน ขัดพรม ดูดพรมทั้งบ้าน ไปผ่าฟืน ไปช่วยตัดหญ้าหลังบ้านเพื่อนเจ้าของ เคสนี้กลับมาบ้านมือพอง น้ำตาคลอเลยครับ รู้สึกอยากกลับบ้าน ตอนนั้นมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า “เรามาทำอะไรที่นี่” แต่ผมก็ผ่านความรู้สึกนี้มาด้วยกำลังใจของตัวเอง ผมบอกตัวเองว่าเรากลับไม่ได้ ถอยไม่ได้ ถ้ากลับไปตอนนี้ ก็ต้องกลับไปเป็นเด็กเกเรที่เขาดูถูกว่าไม่มีการศึกษา นักเลง ฯลฯ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น แค่สนุกตามประสาวัยรุ่น แต่ก็ถูกตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นผมบอกตัวเองว่าถ้ากลับเมืองไทย ต้องกลับอย่างมีศักดิ์ศรี และต้องทำให้ได้ แต่ถึงจะคิดแบบนี้ ชีวิตก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะผมยังคงใช้ชีวิตโลดโผน จนติดการพนัน ในขณะเดียวกันร้านก็เริ่มเปิดแล้ว เราเริ่มเล่นดนตรีและล้างจานไปด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่ฝึก ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้จนเริ่มเป็นหนี้จากการพนัน ต้องโทรกลับมาขอเงินจากที่บ้าน ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่าจะอยู่อย่างนี้ไม่ได้ วันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมากำลังแปรงฟัน ได้เห็นตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกทุเรศตัวเองทั้งรูปร่างและความคิด จังหวะนั้นแหละครับที่ผมบอกตัวเองว่าเราจะเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไป เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผมเริ่มจากเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองก่อนครับ ตั้งธงเลยว่าจะกินข้าวกับผักต้ม ไม่กินของทอด อนุญาตให้ตัวเองกินไข่เจียวแค่ 1 คำใน 1 อาทิตย์ แล้วก็ซิตอัพ วิดพื้น ผ่านไป 3 เดือน น้ำหนักของผมลดลงจาก 109 กิโลกรัม เหลือ 60 กิโลกรัม กลายเป็นคนผอม สุขภาพดี เล่นกีฬา ซึ่งพอเริ่มเปลี่ยนตัวเองทางร่างกาย จิตใจก็เริ่มเปลี่ยนด้วย หันมามองตัวเองอีกที ผมพบว่าความเป็น Loser ในตัวเราลดน้อยลงไปแล้ว เพราะเราบอกตัวเองได้ครับว่าขนาดรูปร่างยังทำได้เลย แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าตั้งใจจะทำ เกิดการให้กำลังใจตัวเอง อีกอย่างที่มหัศจรรย์ใจกับตัวเองคือเมื่อก่อนผมแทบไม่พูดภาษาอังกฤษเลย แต่พอเราเริ่มไม่อายที่จะถามว่าคำคำนี้แปลว่าอะไร กลายเป็นว่าได้ภาษาอังกฤษเร็วมาก หรือถ้าเขาหัวเราะเยาะผมก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็รู้ว่าพูดอะไรผิดไป ผมพบว่าที่กลัวเพราะแค่ขี้อายและอวดดี แทนที่จะยอมรับว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ไปแอ็กชั่นแบบอื่น แต่พอคิดได้ ผมใช้เวลาไม่นานก็สามารถพูดคุย ต้อนรับ เรียกแท็กซี่ให้ลูกค้า จากเด็กล้างจานผมก้าวขึ้นมาเป็นเด็กเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์ เป็นคนรับออเดอร์ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้นครับ

การตัดสินใจถูกและผิดในเวลาเดียวกัน

ตอนที่อยู่อเมริกา มีคนแนะนำว่าให้ลองทำเพลงสักชุด ผมเลยเริ่มแต่งเพลง ทำเพลง สะสมเพลง แล้วลองส่งกลับมาที่เมืองไทย ในที่สุดก็มีการตอบรับกลับมา ผมเลยตัดสินใจลาออกเพื่อจะกลับมาทำเพลงที่เมืองไทย มีแต่คนท้วงติงนะครับ เพราะชีวิตเราดีแล้ว แต่อนาคตของผมไม่ใช่การเป็นคนมีเงิน อนาคตผมคืออยากทำเพลง เลยตัดสินใจกลับมาทำกับเพื่อนรุ่นพี่อีกคน ตอนแรกที่ปล่อยเพลงไปเหมือนจะดูดี เพราะซิงเกิลแรกที่โปรโมตขึ้นอันดับ 4 Pirate Radio ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ล่มสลาย เพราะไปชนกับอัลบั้มรุ้งกินน้ำ ของอัสนี-วสันต์ เราก็เลยม้วนเสื่อ อีกไม่นานค่ายก็ปิดตัว ตอนนั้นผมเคว้ง งานไม่มี เงินที่สะสมไว้กำลังจะหมด เลยไปสมัครงานเป็นพนักงานเก็บค่าไฟ สลับกับการไปเล่นดนตรีอยู่ตรงผับแถวมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้คืนละ 500 บาท จังหวะนั้นผมท้อมากๆ เหมือนกันนะครับ แต่วันหนึ่งที่ผมกำลังแวะเติมน้ำมันหลังจากที่เล่นดนตรีเสร็จ ตอนนั้นเวลาประมาณตี 2 ผมเหลือบไปเห็นพ่อค้าขายไข่ปิ้ง กำลังนั่งปิ้งไข่ คอยดู คอยพลิกไข่ทีละใบ ดูว่าใบไหนสุก ไม่สุก ผมรู้สึกประทับใจมากเลยครับที่เขาใส่ใจสินค้าขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเวลาที่จะมีใครซื้อกิน รู้สึกว่าเขายังสู้เลย แล้วเราจะถอยเหรอ พอตื่นขึ้นมาอีกวันก็ลุกขึ้นมาแต่งเพลง ดีดกีตาร์อัดใส่เทป เขียนโปรไฟล์ในกระดาษ ใส่ซองเอกสารเท่ากับจำนวนค่ายเพลงในกรุงเทพฯ ที่พอจะมี แล้วก็นั่งรถเมล์หอบเอกสารที่เราทำเสร็จไปเดินส่งตามค่ายเพลงต่างๆ แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากค่ายไหนกลับมาเลย

จนมีพี่ที่รู้จักกันโทรมาชวนไปทำงานด้วย เพราะเขาเปิดค่ายเพลงเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Indy Cafe เริ่มด้วยกันมา 3 คน พอค่ายเข้าปี 2-3 เรากลายเป็นที่รู้จัก มีรายได้เข้ามาจากเพลง “แค่บอกว่ารักเธอ” ของปราโมทย์ วิเลปะนะ ชีวิตผมก็กลับมาดีขึ้น เพราะเราได้เปอร์เซ็นต์จากตรงนั้นด้วย นอกจากนี้ยังได้กลับมาสนุกกับการทำเพลง ทุ่มเทแบบที่เรียกว่าไม่กลับบ้าน กระทั่งถึงวันที่นโยบายของค่ายเพลงเริ่มเปลี่ยน มองธุรกิจมากกว่าศิลปะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ผมเข้าใจดี เพียงแต่เราเองที่รู้สึกไม่ใช่ ไม่มีความสุขที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ในที่สุดก็เลยตัดสินใจลาออก ให้ชีวิตกลับมาเป็นศูนย์อีกครั้ง และ 3 ปีหลังจากนั้นคือเวลาที่ผมไม่มีงานเลยครับ

รอคอยจนถึงฝั่งฝัน

ถึงแม้จะทำเดโมกับรุ่นน้อง ทำอัลบั้มไปขายกับค่ายเพลง แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร บางครั้งเราก็คิดเหมือนกันนะครับว่า “มันใช่เหรอดนตรี หรือเราแค่ชอบมัน แต่มันไม่ได้ใช่” ผมเริ่มขายกีตาร์ ขายเบส ขายทุกอย่างทิ้ง คิดว่าคงไม่มีโอกาสในวงการอีกต่อไป แล้วก็ส่งเดโมสุดท้ายไปให้พี่บอย โกสิยพงษ์ เพราะได้ข่าวว่าพี่บอยกลับมาเปิดค่ายใหม่อีกครั้งชื่อ LOVEiS และเป็นอีก 3 เดือนแห่งการรอคอย กระทั่งวันหนึ่งมือขวาพี่บอยโทรมาหาผม บอกว่าพี่บอยฟังเดโมแล้วนะครับ เลยอยากถามว่าสนใจมาเป็นนักแต่งเพลงไหม ผมบอกก่อนว่าความจริงไม่ได้อยากเป็นนักแต่งเพลง ผมอยากทำอัลบั้มสัก 1-2  ชุดในแบบของตัวเอง แต่พอเขาถามมาอย่างนั้น คำถามแรกที่โผล่ขึ้นมาในความคิดคือเราจะทำได้เหรอ แต่วินาทีที่ 3 ก็ตอบเขากลับไปว่า “ได้ครับ”  พอวางหูแล้ว ก็ถามตัวเองอีกทีว่าเราจะทำได้ไหม กลัวมากๆความ Loser ของผมจะชอบโผล่ขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ไม่ได้นำมันมาปิดกั้นโอกาสของตัวเอง เลยเข้าไปลองดู ซึ่งเพลงแรกที่ได้เขียนคือเพลง “ความสุขเล็กๆ” ในอัลบั้มความสุขเล็กๆ ของทีโบนครับ พอผมรับโจทย์กลับมา ก็ค่อยๆ คิดว่าจะแต่งเพลงนี้อย่างไรดี แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งไปเดินงานครบรอบ 60 พรรษา ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จัดขึ้นที่เมืองทองธานี ตอนนั้นกระแสความพอเพียงมาแรง เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจ ความสุขเล็กๆ ของเราไม่ได้มีอะไรมาก เพียงกาแฟใส่นม มีมื้อเย็นอยู่กับคนที่เรารัก มีกีตาร์ดีด ฉันร้อง เธอเต้น ความสุขเล็กๆ ในครัวเรือนมีได้ ไม่ต้องมีอะไรมากมาย เรานำสิ่งเหล่านี้มาเขียนไว้ในเนื้อเพลง พอส่งที่ประชุม พี่บอยบอกว่า ชอบมากครับ ผ่านเลย แล้วตอนนั้นคนที่นั่งในที่ประชุมคือนักร้องของ Boyd E1EVEN1H ทั้งหมด พอพี่บอยพูดอย่างนี้ ทุกคนก็หันหน้ามามองผมแบบพร้อมกัน เหมือนผมเป็นใคร มาจากไหน ทำไมเขียนทีเดียวผ่าน ตรงนั้นเหมือนเป็นการบอกว่าเราสอบผ่าน ได้ไปอยู่ในทีมนักแต่งเพลงของพี่บอยครับ แล้วก็ได้มีโอกาสเขียนเพลงเป็นระยะ

จริงอยู่ที่วันหนึ่งผมได้เป็นศิลปิน นักแต่งเพลง แต่รายได้ที่มีเข้ามาไม่ได้เยอะมากมายเท่าไหร่ ถึงแม้จะได้เป็นศิลปินในนาม The Begins ก็ไม่ได้มีงานโชว์อะไรมากมาย จนเรากลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่าเราจะดำเนินชีวิตไปอย่างไรต่อ กระทั่งมีสายงานใหม่เข้ามาคือ Music Director Concert ที่มาที่ไปคือผมมีโอกาสได้ไปแต่งเพลงกับเด็ก AF ผู้ใหญ่ในนั้นเขารู้สึกถูกโฉลกเลยชวนมาทำครับ ตอนนั้นน่าจะเป็นคอนเสิร์ต ณัฐ ศักดาทร และซานิ-นิภาภรณ์ ฐิติธนการ ที่เอ็มเธียเตอร์ จากนั้นก็ได้ทำคอนเสิร์ตที่ 2 เป็นของต้อล-วันธงชัย อินทรวัตร แต่ครั้งที่ 3 ใหญ่มาก เป็นคอนเสิร์ต AF All Seasons ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี งานนั้นผมเครียดมาก แต่ก็เรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่เราสอบผ่าน แต่ก็ยังไม่ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้มากๆ จากอาชีพนี้ได้ ความไม่มั่นใจ ความเป็น Loser ก็ผุดขึ้นมาในใจเราอีก จนผู้ใหญ่ที่ AF โทรมาหาผมอีกครั้ง แล้วบอกว่าจะทำรายการ The Voice Thailand อยากให้ผมมาเป็น Music Director ให้ เชื่อไหมครับว่าตอนนั้นผมปฏิเสธ (หัวเราะ) เพราะผมทำรายการจัง-หวะ-จะ-เดิน และหัวใจยังเต้นกับชัช (ชัชวาล วิศวบำรุงชัย) อยู่ แต่เขาก็ยังอยากให้ผมทำ แล้วพี่บอยก็คือคนที่บอกให้ผมไปทำด้วย ซึ่งนอกจากสมาชิกในบ้านที่มีพระคุณกับผมแล้ว พี่บอยคืออีกคนที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ เขาเปลี่ยนชีวิตผม ทำให้ผมมองโลกในแง่บวกมากขึ้น ทำให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้ดำมืดอย่างที่เราคิด และในเมื่อพี่บอยแนะนำให้ทำ ผมก็เลยตกลงใจไปทำครับ ผมได้เข้าไปเป็น Music Director ตั้งแต่ The Voice Thailand Season 1 ซึ่งสิ่งที่ประทับใจคือความสามารถของคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ผมได้เจอผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถหลายคนมาก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะเข้ามาในวงการยังไง ไม่มีคนสนับสนุน และรายการนี้ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถที่มีในตัวเอง ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าผมก็อยู่กับ The Voice Thailand ทุกซีซั่นจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้ผมเปิดค่ายเพลง Alley 1 ด้วยครับ นอกจากอยากทำเพลงที่ดี ทำเพลงแบบที่ให้คนฟังได้นานๆ การทำ The Voice Thailand ทำให้เราได้เห็นความสามารถของเด็กๆ ที่ร้องดี มีความเป็นศิลปิน แต่ไม่ได้ไปต่อ ผมรู้สึกเสียดายที่จะปล่อยเขาไป เลยทำค่ายเพลงนี้ขึ้นเพื่อซัพพอร์ตความสามารถของพวกเขาด้วยครับ

เวฟที่ขึ้น-ลงตลอดชีวิตและมุมมองที่ตกผลึก

ถ้าจะให้ผมมองสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิตของตัวเองในวันนี้ว่าเป็นอย่างไร ขอใช้คำว่าผมคิดถูกและคิดผิดในเวลาเดียวกันครับ เวฟที่ขึ้น-ลงได้สอนให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ สอนให้เข้าใจให้รู้ว่าจะต้องทำยังไง อยากอยู่เพื่ออะไร อยากอยู่เพื่อใคร ซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความผูกพันที่ดี การมีพ่อแม่ พี่ น้อง เพื่อนฝูง มีคนที่รักเราอย่างจริงใจ ชีวิตผมเจอคนมามาก ผ่านความบอบช้ำมาเยอะ เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าความจริงใจสำคัญที่สุด แล้วเวลาจะพิสูจน์ว่าใครคือคนที่รักเราจริงๆ ครับ

ไม่ต้องกลัวถ้าเราคือ Loser

สิ่งที่ผมอยากจะบอก สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็น Loser คือต้องยอมรับตัวเองให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับว่าเราคืออะไร เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้ เพราะช่วงต้นๆ ของชีวิตที่ผมไม่สามารถยืนขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการไม่ยอมรับตัวเอง แล้วหลอกตัวเองว่าฉันคืออย่างนั้น อย่างนี้ ฉันไม่ได้อ้วน ฉันเป็นแค่คนตัวใหญ่ ฉันไม่ได้น่าเกลียด ฉันเท่ ไว้หนวด ไว้เครา เรื่องกินเหล้า สูบบุหรี่ คือความเท่ ลูกผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ แต่สรุปแล้วไม่ใช่หรอกครับ เราต้องยอมรับตัวเองแบบตรงไปตรงมา จึงจะสามารถเปลี่ยนได้ หรือเรื่องความเป็นลูกผู้ชาย ผมได้เรียนรู้ว่าคนที่จะเป็นลูกผู้ชายต้องยอมรับในสิ่งที่พูด ยอมรับในสิ่งที่ทำ นั่นถึงจะเรียกได้เต็มปากว่าเราเป็นลูกผู้ชายครับ

นายแบบ: อภิชา สุขแสงเพชร

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%