ทอย ปฐมพงศ์ ครอบครัวคือคุณค่าของความรักและการมีชีวิต

หล่อ ใส สไตล์โอปป้า อาจเป็นลุคแรกที่เราได้ทำความรู้จักนักแสดงหน้าใหม่ที่ชื่อทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มคนนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีความคิดความอ่านที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องการทำงานในวงการบันเทิงที่ทอยบอกว่านี่คืออาชีพ การใช้ชีวิตส่วนตัว หรือในเรื่องครอบครัวที่บอกเลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นแฟมิลีแมนตัวจริง นั่นเพราะเบื้องหลังรอยยิ้มและอินเนอร์ที่มีความสุขของเขาเริ่มต้นมาจากการได้รับความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวที่ไม่เคยตั้งข้อแม้และสร้างข้อจำกัดต่างๆ ให้กับเขาเลย ทอยบอกว่าครอบครัวคือจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และยังทำให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของเวลาและการมีชีวิตอยู่จากเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเกือบต้องเสียคุณแม่ ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดไปอีกด้วย  

เรียกว่านอกจากงานในวงการบันเทิงที่ทุ่มสุดตัวแล้ว ครอบครัวนี่แหละที่ทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี รักหมดหัวใจ

ก่อนจะเป็นทอยปฐมพงศ์ ที่ทุกคนรู้จัก

ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนไม่กล้าแสดงออกเลยครับ แม้แต่ตอนที่เดินผ่านเพื่อนตรงหน้าเสาธงยังเป็นเรื่องยาก ไม่อยากให้คนมองเรา เขินที่จะคุยกับคนแปลกหน้า เลยไม่คิดว่าวันนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่ที่ได้เข้ามาทำงานในวงการนี้ก็เพราะโอกาสครับ มีคนชวนไปแคสติ้งหลายงาน แล้วก็มีงานหนึ่งที่น้าผมส่งผมไปประกวดจัดฟัน ตอนนั้นไปแบบที่ยังแต่งหน้าไม่เป็น ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ตรงนั้นเหมือนเป็นโลกใบใหม่ของผม ได้เห็นผู้เข้าประกวดหลายแบบ บางคนเตรียมพร้อมมาแบบหน้า ผม เป๊ะ บางคนบึ้กมาก บางคนมาแบบเวอร์ชั่นประกวดแบกดาบ แบกกระบองไฟ ฯลฯ ซึ่งพอถึงคิวผม เขาถามว่าความสามารถพิเศษคืออะไร ตอนนั้นไม่ได้คิดมา เลยบอกไปว่าร้องเพลงครับ แล้วลองคิดดูว่าผมที่เป็นคนไม่กล้าแสดงออก แต่ต้องร้องเพลงแบบไม่มีดนตรีให้คนในห้องนั้นอย่างน้อยๆ  15 คนฟัง พอร้องเสร็จ เขาถามผมกลับมาว่าน้องท่องอาขยานเหรอ? หลังจากนั้นผมเข็ดกับสายประกวดเลยครับ ผมปฏิเสธทั้งกับตัวเองและที่บ้านเพราะคิดว่าอาจไม่เหมาะกับทางนี้ จนมีคนเริ่มทาบทามให้ลองไปแคสติ้งงานโฆษณาดู ก็ยังไม่ได้สักทีเพราะผมดัดฟัน ซึ่งส่วนใหญ่คนดัดฟันจะไม่ค่อยได้งานถ่ายโฆษณาสักเท่าไร จนมาถึงงานสุดท้าย ผมก็บอกกับแม่ว่าถ้างานนี้ไม่ได้ ทอยขอกลับไปใช้วิชาเรียนในสายงานของตัวเองที่อยากทำนะครับ แต่กลายเป็นว่าเราได้งานนี้ซึ่งก็คือ เกรียน Possible ครับ

ชีวิต 6 ปีในวงการบันเทิง

ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการมักมีหลายเสียง หลายคอมเมนต์ที่มองว่าเป็นดาราสบายอยู่แล้ว ทอย-ปฐมพงศ์ ได้โอกาสเยอะมาก ซึ่งในมุมผม ผมเปรียบตัวเองเป็นรถ SUV ที่คนมักมองเข้ามาว่ารถคันนี้นั่งสบาย ทำอะไรก็ชิลล์ ลุยป่าได้ เข้าเมืองก็ได้ แต่คุณอาจไม่รู้ว่ารถคันนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ตลอด 6 ปี ผมได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เยอะมาก ผมเล่นละคร 20 กว่าเรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อน แต่โอกาสยิ่งเยอะ เราก็ยิ่งต้องทำการบ้าน พัฒนาตัวเอง และผมก็ผ่านมาด้วยทัศนคติที่ว่า “เราทำได้” แล้วก็ทำได้จริงๆ อีกอย่างต่อให้ทำงานมา 6 ปี แต่ผมยังรู้สึกตื่นเต้นในการออกกองครั้งแรก ตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ๆ เสมอ ผมว่านี่เป็นข้อดีของตัวเองนะครับที่เรายังตื่นเต้นกับการทำงาน ยังตื่นเต้นกับสิ่งที่อยากจะทำอยู่ เพราะหมายความว่าเรายังอยากไปข้างหน้าครับ

การมีชื่อเสียงทำให้ต้องเป็นคนที่ดีขึ้น

การมีชื่อเสียง เงินทองเข้ามา ไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตของผมเลยครับ แค่เปลี่ยนการใช้ชีวิตเราบางอย่าง นี่เป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้วว่าเมื่อเรามีชื่อเสียงมากขึ้น หมายถึงเราต้องดูแลตัวเอง ต้องใช้ชีวิตให้ดีขึ้น แต่ถ้าเรื่องติดหรู หลงแสง สี เสียง ไม่เลยครับ ผมยังเหมือนทอยวันแรกที่เข้ามาในวงการ และผมเป็นคนที่รีเช็กตัวเองบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นงานละคร พิธีกร อย่างรายการโตแล้ว ผมทำมาประมาณ 200 เทป ทุกเทปที่จบต่อวัน ผมจะคุยกับทีมงานตลอดว่ามันใช่ไหม พี่ว่าคาแร็กเตอร์นี้ผมโอเคหรือเปล่า การที่ผมเป็นแบบนี้พี่ว่าผมโอเคไหม ถ้าในพาร์ตของละคร ผมจะคุยกับผู้กำกับว่าสิ่งที่ผมตีความมาถูกต้องไหม หรือว่าเราวางตัวในกองแล้วเขาแฮปปี้กับเราหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่เรารีเช็กได้ว่าเรายังเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ

ยิ่งคาดหวังต่ำ ยิ่งได้กำไร

ผมเข้ามาในวงการนี้ด้วยความที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้อยากเป็นนักแสดง แต่เข้ามาด้วยความรู้สึกโชคดีที่ได้ซะทีมากกว่า และด้วยความที่เราไม่คาดหวัง ทำให้เราไม่ได้แบกความทุกข์มาเยอะ ทุกวันนี้โอกาสต่างๆ ที่ได้รับเลยถือเป็นกำไร มีคนรู้จักเรา มีคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทาย บางคนเดินมาบอกว่าทอยเล่นเรื่องนี้พี่ชอบมาก เหล่านี้เป็นพลังบวกที่ทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ครับ

นักแสดงคืออาชีพ

ก่อนหน้านี้พอผมถามตัวเองว่าเราจะมีอาชีพอะไร? ถ้ายังตอบไม่ได้ก็เป็นนักแสดงไปก่อน นั่นเพราะผมคิดว่าเรายังสามารถสร้างรายได้จากตรงนี้ได้อยู่ จนมาสัก 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มรู้สึกว่าผมใช้เวลาปีหนึ่งๆ หมดไปกับอาชีพนี้อย่างเดียวเลย ทำให้รู้ว่านี่คืออาชีพของเรา ต้องโฟกัส ทุ่มเทเวลาให้ และวงการบันเทิงเป็นวงการที่ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมเชื่อว่าเราคิดอะไรก็ได้อย่างนั้น ก่อนหน้านี้ผมแค่คิดว่าเราอยากได้งาน อยากได้เงิน แล้วก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเคารพอาชีพนี้ ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าเดิมเยอะมาก เริ่มเข้าใจการแสดงมากขึ้น แล้วสิ่งที่ตอบแทนผมในปีหลังๆ มาคือมีคนพูดถึงเรื่องการแสดงของผมเยอะขึ้น มีเรตติ้งในการรับชมผลงานที่ผมมีส่วนร่วมมากขึ้น มีคนรู้จักมากขึ้น นั่นยิ่งทำให้ผมเคารพเรื่องการแสดงมากครับ

ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ

ผมกับครอบครัวเราสนิทกันมาก คุยกันทุกเรื่องครับ แต่ว่าคนที่ผมสนิทที่สุดคือคุณแม่ที่เรามักจะไปงานด้วยกัน ผมมีผู้จัดการดูแลก็จริง แต่จะมีช่วงหนึ่งที่แม่จะรับคิวแล้วคอยปลุกผม บางช่วงก็เป็นคนขับรถพาไปกองถ่าย เลยยิ่งเหมือนรู้จักผมในทุกมุม แต่ความจริงเราสนิทกับที่บ้านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มีเรื่องอะไรจะคอยบอกกัน ผมไม่เคยรู้สึกว่ามีแฟนแล้วไม่กล้าบอกที่บ้าน เรียนไม่เก่งแล้วแอบเกรด ฯลฯ เป็นคนที่อย่างไรก็อย่างนั้น เปิดหมด และด้วยความที่สนิทกันมาก ผมเลยมองว่าครอบครัวเป็นเหมือนกลุ่มเพื่อนของผมมากกว่า คุณพ่อเป็นเพื่อนผู้ชายที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่ม ทำได้ทุกอย่าง คุณแม่ก็เหมือนผู้หญิงในกลุ่ม ขี้บ่นหน่อย จู้จี้หน่อย แต่ด้วยความที่ผมมองเขาเป็นวัยเดียวกับเรา เราเลยรู้สึกสบายใจ และมองว่าถ้าจะนำเรื่องของเราไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง ทำไมถึงไม่เล่าให้คนในครอบครัวฟัง เขามีทัศนคติที่เป็นเพื่อนที่โตกว่า ยิ่งทำให้ผมสนิทกับที่บ้าน และด้วยความที่เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน หมายความว่าเราจะต้องแชร์กัน เข้าใจกันตลอด เลยไม่ค่อยมีสเปซครับ แต่มีบางช่วงที่แม่แซวผมว่า “ทอยเริ่มรำคาญแม่แล้ว ทอยเริ่มโตแล้ว” แต่พอมาถึงตอนนี้แล้วมองกลับไป ผมรู้สึกว่าไม่เห็นมีช่วงนั้นเลย เราไม่มีช่วงที่อยากออกจากบ้าน ทะเลาะกับที่บ้าน เรามีไลน์กรุ๊ปครอบครัว ซึ่งผมคิดว่าบ้านอื่นก็ต้องมี แต่บ้านผมคุยกันทั้งวันครับ พอเราได้แชร์อะไรกันทั้งวัน เลยไม่มีระยะห่าง เหมือนอยู่ใกล้กันตลอด

ลูกชายและพี่ชายในแบบทอย-ปฐมพงศ์

ถ้าคะแนนเต็ม 10 คะแนน ผมให้คะแนนตัวเองในบทบาทของลูกชายที่ 8 คะแนนครับ เพราะในมุมของลูก เราแบ่งรายได้ให้กับที่บ้านและในโอกาสพิเศษ แต่ผมจะให้คะแนนตัวเองเต็ม 10 ได้ก็ต่อเมื่อพ่อแม่ต้องไม่เหนื่อยแล้วครับ แต่ตอนนี้พ่อแม่ผมยังต้องทำโน่น ทำนี่ หมายความว่ารายได้ที่ให้อาจไม่ครอบคลุมขนาดนั้น แต่ถ้าในบทบาทเป็นพี่ชาย ผมให้คะแนนไม่ถูกเลยครับ เพราะผมเป็นคนที่ชอบแกล้งน้องมาก โดยเฉพาะตอนเด็กๆ (หัวเราะ) ขอเท้าความกลับไปก่อนว่าความจริงผมอยากมีน้องชาย คิดว่าจะต้องเป็นน้องผู้ชายอย่างเดียว เลยบอกแม่ว่า “ทอยอยากมีน้อง” เพราะเราเห็นเพื่อนจูงน้องไปโรงเรียน ผมก็เล่าให้แม่ฟังแค่นี้ ซึ่งแม่คงจินตนาการว่าเราเดินจูงมือน้องแกว่งไปแกว่งมา แต่จริงๆ ที่เราเห็นน่ะ คือเพื่อนแกล้งน้อง และเราอยากทำอย่างนั้น แต่พอได้น้องเป็นผู้หญิง ผมก็งงเลย เราจะยังไงดีล่ะ ทำไมเพื่อนเรามีน้องผู้ชาย ทำไมแม่เราเลือกเพศไม่ได้เหรอ (หัวเราะ) เลยเล่นกับน้องแรงๆ ตอนเด็กๆ จับขาน้องเขย่าๆ ดังนั้นในพาร์ตพี่ชาย ตั้งแต่เด็กคือแกล้งน้องหนักมากครับ เห็นน้องเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่พอโตขึ้น เราก็เริ่มใส่ใจเขา ถามว่าไม่อยากสวยเหรอ ไม่เห็นแต่งตัวเลย แต่งตัวสิ อยากให้น้องดูแลตัวเองมากขึ้น มีครีมอะไรก็เอามาให้ บางทีเห็นเขาหน้าแห้งก็ทาให้ พอโตขึ้นเหมือนเป็นการแกล้งปนห่วงเสียมากกว่าครับ

“นาทีชีวิต” ช่วงเวลาสำคัญที่ต้องจับมือแน่นๆ แล้วผ่านไปด้วยกัน

ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลยครับ แต่จำได้แม่นเลยว่าแม่ผมป่วยเป็นโรคมะเร็ง ถึงขนาดที่ต้องโกนหัวแล้วใส่วิก โชคดีที่บ้านเราเป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนาน ทำให้แม่ผ่านโรคนี้ไปได้ แต่ปีต่อมาแม่ตับแตกอีก ความรู้สึกของผมตอนนั้นเหมือนโดนทุบหัวรอบแรกแล้วยังไม่หายงง มาเจอรอบที่ 2 อีก มึนกว่าเดิม รอบนี้หนักมากถึงขนาดที่หมอโทรมาบอกตอนกลางคืนว่า “แม่จะอยู่ไม่ถึงเช้า” ถึงวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่พอผมนึกถึงช่วงเวลานั้นทีไรก็ยังรู้สึกอยู่ ในฐานะลูกคือไม่ร้องไห้ให้แม่เห็น ในฐานะพี่ตอนนั้นผมบอกตัวเองให้เข้มแข็งที่สุด ไม่ร้องไห้ แต่ในพาร์ตของตัวเองคือหนักมากครับ ที่ผมผ่านความรู้สึกนี้ไปได้ เพราะเราช่วยกันครับ นอกจากผมพยายามเข้มแข็ง แม่ผมก็สู้กับสิ่งที่เขาเจอด้วย เหมือนเราผ่านไปด้วยกัน ผมดูอาการ ถามแม่เป็นยังไง บอกแม่ว่าไม่เป็นไร ผมอยู่ตรงนี้นะ แล้วพอแม่ดีขึ้น ผมก็ดีขึ้น ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าถ้าแม่ยังมีชีวิตหมายความว่าเรายังมีความหวัง เราก็คอยเติมความหวังให้เขา ในขณะเดียวกันแม่ก็เติมความหวังให้ผมด้วยครับ จากเหตุการณ์นั้นทำให้ความสนิทในครอบครัวที่มีมากอยู่แล้ว มีมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกอยากจะสนิทกับทุกคนกว่าเดิม รู้สึกว่าเราอยากมีเขาอยู่ในชีวิต เลยยิ่งทำให้ดึงเขามาทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น ผมชอบปั่นจักรยาน ก็ชวนพ่อปั่น มีช่วงหนึ่งที่แม่ติดเกมออนไลน์กับผม เราก็สนุกไปด้วยกัน รู้สึกว่าช่วงเวลาแบบนี้เราต้องอยู่ด้วยกัน แล้วถ้าวันนั้นไม่มีแม่ ก็ไม่มีโมเมนต์แบบนี้ เหตุการณ์นั้นทำให้ผมเห็นคุณค่าของเวลา เห็นคุณค่าของการมีชีวิตครับ

ด้วยพลังแห่งความรัก

ครอบครัวทำให้ผมมีวันนี้ 100 % ถามว่างานที่ผมทำเหนื่อยไหม เหนื่อยนะครับ แต่พอเราหันกลับมาก็เจอพวกเขา ครอบครัวไม่เคยพูดถึงเงิน เขาแค่อยากดูละครแค่นั้นเองครับ และการมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ทำให้ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากจะแต่งงานตอนอายุประมาณ 30 ซึ่งตอนนี้ก็ 26 แล้ว ถามว่าเป็นไปได้ไหม ก็เป็นไปได้นะครับ สำหรับผมคือมีเวลาอีกตั้ง 4 ปีนะครับ ไม่ใช่แค่ 4 ปี (หัวเราะ) ที่ผมอยากแต่งงาน มีลูกเร็ว เพราะได้เห็นตัวอย่างจากที่บ้าน ผมกับแม่อายุห่างกันประมาณเท่าหนึ่ง คือถ้าผมอายุ 25 แม่ผมเพิ่ง 50 ยังไม่แก่เลย นอกจากทัศนคติที่เรามีต่อครอบครัว ยังมีเรื่องอายุด้วย ถ้าแม่อายุห่างกว่าผมมากกว่านี้อีก 10 ปี หมายถึงแม่ห่างจากผม 35 ปี ผมว่ารุ่นแม่อาจไม่ทันรุ่นผม ย่าผมเพิ่งมีไลน์เมื่อปีที่แล้วและยังส่ง “สวัสดีค่ะ” ให้ผมอยู่เลย ในขณะที่แม่คุยกับผมว่าฉันมีสติ๊กเกอร์ใหม่ ฉันมีแอปนี้ แอปโน้นโหลดยังไง ถ่ายกล้อง 360 องศา ฯลฯ แล้วตอนนี้ติดเกมในมือถือด้วย (หัวเราะ) เลยคิดว่าถ้าเรามีลูกเร็ว วันที่เราอายุเท่าแม่ ลูกอายุเท่าเรา เรายังเข้าใจเขาครับ

รักอย่างไม่คาดหวัง

ถ้าวันหนึ่งผมกลายเป็นพ่อคน ผมอยากเป็นแบบพ่อของผมครับ ไม่ฟิกซ์อะไรกับลูกมาก ที่บ้านผมไม่เคยบอกว่าทอยต้องเรียนเก่ง ต้องเป็นตัวแทนของโรงเรียน ผมไม่เคยได้ยินคำนี้เลย เคยแต่ได้ยินพ่อบอกว่าถ้าทอยสอบได้เลขตัวเดียว พ่อจะซื้อของให้ ซึ่งทุกวันนี้ผมไม่เคยได้ของเหล่านั้น เพราะผมไม่เคยสอบได้เลขตัวเดียวเลยครับ (หัวเราะ) แต่นั่นหมายความว่าถ้าผมใช้ชีวิตรอดจนไปถึงเรียนจบโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโอเคแล้ว ครอบครัวผมไม่เคยบอกว่าทอยต้องดีที่สุดถึงจะเป็นคนเก่ง เป็นคนดี พ่อผมไม่เคยกดดัน แม่ผมไม่เคยคาดหวังอะไรทั้งนั้น (แล้วผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกล่ะ ต้องมีความคล้ายกับคุณแม่ไหม) ไม่เชิงนะครับ ผมว่าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้เจอผู้หญิงที่มีความคล้ายกับแม่ เพราะผู้หญิงคนต้นๆ ในชีวิตก็คือแม่ นิสัยเขาก็ซึมมากับเรา ซึ่งถ้าเราจะมีแฟนสักคนแล้ว เขาจะมีความตลก มีทัศนคติที่คล้ายกับแม่ก็คงดี แต่ผมว่ายากที่จะได้แบบนั้น สเป็กผมตอนนี้คือคุยกันรู้เรื่อง ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก นี่เป็นสิ่งที่เรามอง เพราะถ้าเขาให้ความสำคัญกับครอบครัว หมายความว่าในอนาคตถ้าเราไปเป็นครอบครัวเขา เขาก็จะให้ความสำคัญกับเราครับ

นายแบบ: ปฐมพงศ์ เรือนใจดี

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สถานที่: Café Mezzanine

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%