ความรักและความหมายของ “คนที่ใช่” ในแบบฉบับ โทนี่ & แก้ว

ความรักลงตัวจนไม่อยากหวงความโสดไว้อีกต่อไป ในที่สุด โทนี่ รากแก่น แฮร์สไตลิสต์และนักแสดงชื่อดัง ก็ขอแฟนสาว แก้ว-จริญญา ศิริมงคลสกุล นักร้องและนักแสดงสาวสุดป๊อบลั่นระฆังวิวาห์ที่เขาใหญ่ ท่ามกลางเหล่าคนสนิทที่มาร่วมงานกันอย่างอบอุ่นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากความรักจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้โทนี่และแก้วอยากใช้ชีวิตร่วมกัน ความลงตัวในเรื่องของความคิด ไลฟ์สไตล์ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่ต่างมองว่าจะสามารถเดินจับมือกันไปบนถนนของชีวิตคู่ได้อีกยาวไกล

ในช่วงเทศกาลแห่งความรักปีนี้ someonestory.co เลยไม่พลาดที่จะชวนเจ้าบ่าว-เจ้าสาวป้ายแดงมานั่งคุยถึงมุมมองความรักและการใช้ชีวิตคู่ รวมถึงอนาคตที่ต่างมองร่วมกันไว้ อาจไม่น่ารักหรือหวานจับใจเหมือนหลายๆ คู่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น จริงใจ และความสบายๆ ในบทสนทนา

บทพิสูจน์ความรักก่อนจะถึงงานวิวาห์

โทนี่: เราแต่งงานกันวันที่ 11 ธันวาคม 2564 แต่ก่อนถึงวันงานคือวันที่ 10 ธันวาคม เราทะเลาะกันหนักมากครับ เป็นเรื่องความไม่เข้าใจกัน เกี่ยวกับการสลับที่พักของแขกกับทีมงาน ซึ่งผมกับแก้วคิดไม่เหมือนกัน ผมเองที่เป็นคนออร์กาไนซ์งาน รู้สึกว่าลงตัวแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนให้มันยุ่งยาก ในขณะที่แก้วมองว่ามันลงตัวกว่าถ้าจะมีการปรับที่พัก แล้วเราก็มีปากเสียงกัน แต่สุดท้ายก็ลงตัวครับ

แก้ว: พอเราทะเลาะกัน อารมณ์ก็เยอะ เดือดจนลามไปถึงเรื่องอื่นๆ หยิบเรื่องโน้นเรื่องนี้มาพูดกันเต็มไปหมดเลย จนถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ตั้งสติได้

โทนี่: ถือเป็นจุดจุดหนึ่งที่ดีนะครับ เพราะว่าระหว่างทาง เราสั่งสมความรู้สึกอะไรบางอย่าง อย่างแก้วเขาอาจรู้สึกว่าทำไมผมทำคนเดียวเลย ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันคิด ผมเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่เก็บไว้เหมือนกัน แล้วพอมาระเบิดวันนั้น ทำให้ได้เคลียร์กัน

เรื่องของเรื่องมันบิวต์มาตั้งแต่วันที่ขอแก้วแต่งงานแล้วครับ ก่อนหน้านั้นผมเข้าไปหาป๊ากับม้าก่อน ไปบอกเขาตรงๆ ซึ่งก็มีคำถามหลายๆ อย่างเกิดขึ้น สุดท้ายเขาก็ยอม แต่ก็ทำให้ผมต้องพิสูจน์ตัวเองในสิ่งที่เขากังวลว่าจะมาดูแลลูกเขาได้ไหม กดดันตัวเองมาตลอด พอถึงช่วงการจัดงาน ความคิดของผมคือจัดเพื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เลยคิดเยอะ ต้องละเอียด เข้าไปยุ่งในทุกกระบวนการ แล้วก่อนงานแต่งงานก็เกิดทะเลาะกันในเรื่องการจัดงานอีก พอวันจริงก็เกิดปัญหาอีก เพราะดันไปเล่นเรื่องยาก คือไม่เชิญแขก แต่อยากให้แขกได้เข้าร่วมงานผ่านออนไลน์ เลยต้องมีการเซ็ตอัพทีมถ่ายทำ หลายๆ อย่าง แต่ก็มาเกิดปัญหาว่าพอถึงเวลาที่ต้องออกอากาศกลับยังออกอากาศไม่ได้

แก้ว: เวลานั้นเราแยกกันอยู่ ตามสคริปต์คือในพิธีพี่โทนี่เขาต้องยืนรอข้างบน แล้วหนูนั่งรถเข้าไป จากนั้นก็เดินขึ้นไปตรงทางขึ้นบันได ซึ่งก่อนเริ่มช่วงนั้นหนูก็รออยู่ในบ้าน เวลาที่เราตั้งไว้คือ 16.00 น. แต่พอถึงเวลาก็เริ่มแปลกใจว่าทำไมยังไม่ไลฟ์ เริ่มกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอยู่ดีๆ พี่โทนี่วิ่งเข้ามา เพราะเวลาเลยมาประมาณ 15-20 นาทีแล้ว

โทนี่: ตอนนั้นผมโทรไปถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าล็อกอินไม่ได้ เพราะพาสเวิร์ดที่จะต้องล็อกอินมันโยนเข้าไปที่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของเขา เลยเดาว่าเป็นของแก้ว ผมเลยรีบวิ่งไปหาเขา ซึ่งจริงๆ แล้วผมต้องไม่เห็นภาพสวยงาม สมบูรณ์แบบของเขาก่อนที่งานจะเริ่ม แต่เราไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ตั้งใจกำลังจะพัง ซึ่งถ้าเราไม่ทะเลาะกันก่อนหน้า โมเมนต์นั้น เราอาจระเบิดใส่กันแล้วระหว่างงานก็เละเทะไปเลย แต่พอดีว่าวันก่อนหน้านั้นความรู้สึกทุกอย่างได้ถูกระบายออกมาทั้งหมด วันงานจริงที่เราวิ่งเข้าไปหากันเลยเป็นการช่วยเหลือ พยายามหาทางออก จนสุดท้ายพอปลดล็อกได้ เริ่มไลฟ์ ได้เห็นภาพที่วางแผนทุกอย่าง เพื่อนเจ้าบ่าว-เจ้าสาว 18 คู่ ค่อยๆ เดินขึ้นมาทีละคู่ ภาพป๊าที่ไปเดินรับแก้วมา ทำให้รู้สึกว่า สุดท้ายเขาก็ยอมรับเรา มันสมบูรณ์แบบมากครับ

จริงใจและให้เกียรติ คีย์เวิร์ดในการใช้ชีวิตคู่แบบโทนี่ & แก้ว

โทนี่: เราคุยกันว่าต้องอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตก่อน สมมติเรื่องหึงหวง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าส่วนของเขาไปเจออะไร ไปทำอะไรมา เขาก็ไม่มีทางรู้ส่วนของเราเลย เพราะฉะนั้นตรงส่วนนี้อย่าไปจินตนาการให้เสียเวลา แค่คุยกันตรงๆ ว่าคุณดูแลส่วนของคุณให้ดีที่สุด เราจะดูแลส่วนของเราให้ดีที่สุด เมื่อเรามาเจอกัน มาอยู่ด้วยกันคือหนึ่งร้อย นี่เป็นคีย์เวิร์ดที่เราเริ่มต้นด้วยกัน ให้อิสระกันในการดูแล รับผิดชอบ และต้องเชื่อใจกัน แล้วเริ่มต่อยอดไปสู่การรักษาศีล 5 ถือเป็นเรื่องเบสิกที่ยากมากนะครับ เราต้องทำไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ซึ่งการที่จะทำได้ ต้องรักษาสติ รู้ทันความรู้สึกนึกคิดให้มันเฉียบคม ไม่ปล่อยให้เบลอไปกับความมึนเมากับอะไรหลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต

ชีวิตที่เติบโตและพอใจในกันและกัน

โทนี่: ตั้งแต่คบกัน ผมเริ่มลองเลิกบุหรี่ และสิ่งที่เริ่มทำด้วยกันคือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ครับ

แก้ว: เรื่องของเรื่องคือ เหมือนพี่โทนี่ไปถ่ายละครที่ไหนสักที่ อากาศเย็นมาก เขาก็โทรศัพท์คุยกับเราแล้วดูดบุหรี่ไปด้วย คุยไปไอไป ก็เลยถามว่าลองเลิกดูสักรอบไหม ลองพักไปก่อน เพราะว่าดูดไปแล้วก็เจ็บคอ คอแห้ง เหมือนเป็นการโยนคำถาม

โทนี่: ตอนนั้นป่วยด้วย แก่แล้วด้วยล่ะ (หัวเราะ) เลยหยุดก่อนดีกว่า พอหยุดไปได้สักพักก็ได้เจอก้อนความเข้าใจอย่างหนึ่งว่าไม่มีคำว่าเลิกบุหรี่ที่แท้จริง แต่เราสามารถหยุดมันทุกครั้งที่อยากไปได้เรื่อยๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้แค่ไหน ด้วยความเคยชินที่สูบมานานและสูบจัดมาก ทุกวันนี้ก็มีบางโมเมนต์ที่เจออากาศเย็นๆ ชิลล์ๆ แล้วอยากจะสูบ แต่จับความรู้สึกได้ว่า เฮ้ย อยากอีกแล้ว และเราก็แค่หยุด ไม่เอา ปฏิเสธทุกครั้งที่อยากสูบ กลายเป็นว่าจิตใจเข้มแข็งขึ้นกับเรื่องนี้ เลยชวนเขาต่อว่าพวกเราลองไม่แตะแอลกอฮอล์ดีไหม เพราะว่าแอลกอฮอล์อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเผลอหรือทำอะไรไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ บางทีเราไปเที่ยวกับเพื่อน อาจไปเจอคนอื่นแล้วถูกใจในโมเมนต์ที่เรามีแอลกอฮอล์ ก็อาจขาดสติ ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเราเรียนรู้จากการเลิกบุหรี่ว่าความรู้สึกการยับยั้งชั่งใจสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกอย่าง จนกระทั่งเลิกกินเนื้อสัตว์ด้วยกันมาเป็นมังสวิรัติครับ

ตั้งแต่เด็กผมมีครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้นึกไปเองว่าความสมบูรณ์แบบของครอบครัวคือสิ่งที่ใช่ที่สุดในสังคม เลยรู้สึกมีปมด้อย และพยายามพัฒนาส่วนอื่นของเรา คิดไปเองว่าคนจะได้ยอมรับเรา ต้องเก่งกีฬา ต้องเก่งดนตรี ต้องเก่งวาดภาพ เหมือนต้องพยายามเก่งทุกอย่างให้สังคมยอมรับในตัวเรา แต่อยู่ดีๆ มีคนหนึ่งเข้ามาแล้วบอกว่าเราจะเป็นอะไรก็เป็น เพราะชอบที่เราเป็นแบบนี้ มันเลยชิลล์มาก สบายตัว สบายใจ ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ผมชอบพูดอะไรที่ลึก พัฒนาความคิดไปในเชิงที่แบบคนอื่นคงไม่มานั่งฟังหรือคุยต่อกับเรา แต่เขาฟังเหมือนเราได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง

 จากคนไม่คิดเรื่องแต่งงาน จนถึงวันที่มีชีวิตคู่

แก้ว: จริงๆ ชีวิตหนูไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานเลย เพราะว่าชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ยังไม่เคยเจอคนที่รู้สึกว่าเก่งกว่า หมายถึงเก่งทางด้านนำพาให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ตอนมาเจอกันก็ไม่ได้คิดว่าจะไปในลักษณะนี้ เพราะแรกๆ ที่คบกันก็ยังดื่ม ปาร์ตี้ แต่มีจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเราต้องมีสติกันมากขึ้น เลยทำให้เราหยุดในสิ่งที่ทำให้สติเราไม่เฉียบคมขนาดนั้น

อีกอย่างเขาเป็นคนชอบตั้งคำถาม แล้วที่ผ่านมาหนูไม่เคยเจอคนที่ตั้งคำถามกับเราว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร เป็นยังไงบ้าง ไม่เคยมานั่งถามตัวเองว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แล้วพอถูกถามมาเรื่อยๆ เลยทำให้ได้ฝึกมองตัวเองเข้าไปข้างในว่ารู้สึกอะไร ต้องการอะไรในชีวิต จนทำให้กลายเป็นคนที่รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเราต้องการความสงบสุข ซึ่งพออยู่ด้วยกัน พัฒนากันไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรหวือหวา ฉันต้องมีความสุข ฉันต้องเซอร์ไพรส์เธอตลอดเวลา แค่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ไม่ต้องมานั่งคิดว่าเธอจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดของฉันในปีนี้ ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย เราคุยกันเรื่องสติหรืออะไรประเภทนี้ทุกวัน จนกลายเป็นว่าความสนุกของเราอยู่กับการได้พัฒนาตัวเอง ชีวิตธรรมดาแบบนี้แหละที่เราต้องการค่ะ

 คู่รักมังสวิรัติกับการทำฟาร์มผักไว้กินเอง

โทนี่: จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือพ่อของผมที่แข็งแรงมาก เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ อยู่ดีๆ เป็นมะเร็ง เลยมองว่าน่าจะเป็นเรื่องของการกินเนื้อสัตว์ ก็เลยมาคุยกันว่าเราหยุดกินดีกว่า เพราะอยากจะอยู่กันไปนานๆ ลองกินอะไรที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ตอนนั้นก็ยังกินปลา ไข่ นมวัว อาหารทะเล แต่วันหนึ่งเปิดในยูทูปแล้วก็เจอชุดข้อมูลว่าสัตว์ในอุตสาหกรรมนี้ถูกทรมานอย่างน่าสงสาร ก็เลยคุยกับแก้วว่าเรากินแต่ผักแล้วกัน ซึ่งจะมีคนรอบข้าง พ่อ แม่ที่เป็นห่วงเรา กังวลว่าสารอาหารจะเพียงพอไหม อย่างเช่นโปรตีน แต่ความจริงในผักสามารถทดแทนได้ทั้งหมด เลยเกิดกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตแบบนี้ให้ไปต่อได้เรื่อยๆ ครับ

แก้ว: อาจมีแค่ช่วงแรกๆ ที่ลำบากนิดหนึ่งกับการหาเมนูกิน รู้สึกว่ามีแค่เต้าหู้ เห็ด ผัก แต่พอได้ใช้ชีวิตกับสิ่งนี้มาเรื่อยๆ ได้เจอข้อมูล ได้เจอผู้คนที่อยู่ในแวดวง ก็ได้รู้มากขึ้นว่าผักมีหลายชนิด แต่เราแค่ไม่รู้ว่ามี เลยง่ายขึ้น และทำให้เกิดอีกความรู้สึกหนึ่งว่าต่อให้กินผักก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอาหารที่กินมาจากไหน อาจมีสารเคมีอยู่ดี ผักก็ไม่ใช่จะปลอดภัยขนาดนั้น ทำให้อยากปลูกผักกินเอง เพราะเราเป็นคนปลูก คงไม่ใส่สารเคมีอยู่แล้ว แล้วก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนอยากทำฟาร์ม ปลูกผักกินเอง

โทนี่: ซึ่งเพิ่งเริ่มครับ ที่ผ่านมาเราไปเรียนรู้ ไปหาอาจารย์โจน จันได ไปหาอาจารย์หลายๆ ท่านที่ใช้วิถีชีวิตแบบนี้ เพราะเราไม่รู้การเกษตรเลยครับ

แก้ว: หนูว่ามันเริ่มจากโควิดด้วยที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้องพึ่งพาตัวเองได้แล้ว พี่โทนี่ก็ไปเจออาจารย์โจน จันได เลยลองไปเข้าคอร์ส 4 วัน

โทนี่: คอร์สพึ่งตัวเองครับ ซึ่งแก้วบอกว่าเบิกเนตร เพราะจริงๆ แล้ว คนเราต้องการแค่นี้เองคือปัจจัย 4 ซึ่งชีวิตจะง่ายขึ้น ถ้าเราดูแลสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง

เป้าหมายที่มองร่วมกัน

โทนี่: สิ่งแรกที่อยากทำคืออยากสร้างสถานที่แห่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ความเข้าใจของเราทั้งหมดและพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นตอนที่เราอายุ 60-80-90 แต่อยากทำตอนนี้ ซึ่งก็คือมีพื้นที่ปลูกผักกินเอง ใช้ชีวิตง่ายขึ้น สโลว์ไลฟ์ขึ้นจะเป็นอย่างไร ถ้าเราได้ทำสิ่งนี้จะชอบมันจริงๆ ไหม กล้าทิ้งทุกอย่างที่เป็นไหม เช่น การชอบแต่งบ้านสวยงาม ซื้อของ เพราะตอนนี้ยังไม่เห็นภาพว่าเราจะหยุดซื้อ แต่ว่าถ้าวันนั้นมาถึง ชีวิตเราอาจไม่ได้มองว่าสิ่งฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งที่สนุกก็ได้ ต่อไปความสนุกของเราอาจไปอยู่ที่รอผักโต นั่งคิดเมนูอาหารกันว่าทำอะไรกับแปลงผักนี้ดี เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องการดูแลสุขภาพครับ รู้สึกว่าเมื่อเจอแล้วก็อยากอยู่ด้วยกันไปนานๆ อยากรักษาไว้ให้ได้นานที่สุด แล้วจะต้องทำยังไงบ้าง นั่นคือการรักษาสุขภาพ เพราะอาหารทุกวันนี้มันถูกผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมที่คนทำอาจไม่สนใจว่าจะมาในรูปแบบไหน เราก็เป็นฝ่ายบริโภคที่ไม่ได้สนใจเหมือนกันว่าผ่านอะไรมาบ้าง แค่หน้าตาดี อร่อย แต่พอเราใส่ใจสุขภาพ ศึกษามากขึ้น ก็เข้าใจว่าต้องเป็นฝ่ายทำเองบ้างแล้ว ปลูกเอง รู้ที่มาที่ไป จากนั้นก็เริ่มสนใจธรรมชาติมากขึ้น สนใจดิน อากาศ ทะเล พอเราเริ่มสนใจพวกนี้ ก็ทำให้เราเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้เราไปอีกขั้นหนึ่งของความเข้าใจครับ

 แรงบันดาลใจที่ได้จากความรัก

โทนี่:  คู่เราอาจไม่กุ๊กกิ๊กนะครับ สำหรับผม แรงบันดาลใจที่ได้มาเจอคนรักแบบแก้วก็คือ “ความพอ” นี่แหละคือคำที่ส่งเสริมให้ผมรู้สึกชิลล์ รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราพยายามมาตลอดชีวิตเพื่อให้คนยอมรับไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน นิสัย อยากให้คนรัก ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะครับ แต่เมื่อเราพอในสิ่งที่พยายามทำให้ตัวเอง จะมีแรงผลักดันให้เราไปทำเพื่อคนอื่น เพื่อธรรมชาติ เพื่ออย่างอื่นมากขึ้น แล้วพอเราเจอชุดความคิดนี้ ชีวิตของเรามันมีค่ามากครับ

 แก้ว: หนูก็ไม่รู้ว่าเป็นแรงบันดาลใจขนาดนั้นไหม แต่เป็นความโชคดีมากกว่าที่เราได้เจอคนที่คิดเหมือนกัน หนูว่ายากมากเลยที่คนสองคนที่เกิดมาจากคนละที่ คนละทาง จะมาเจอกัน มีความคิดที่ตรงกัน สไตล์เหมือนกันเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างการเลี้ยงไม้น้ำ ตอนที่มาเริ่มทำ เริ่มจากไปนั่งดูในยูทูป แล้วรู้สึกว่าอยากทำ แล้วก็ทำด้วยกัน ทุกกิจกรรมที่เราทำด้วยกันมันคือตัวตนที่ไปในทางเดียวกันหมดเลย ตัวหนูเองก็ไม่มีกิจกรรมไหนที่เขาไปทำด้วยไม่ได้ ทำให้เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ได้คุยกันมากขึ้น ได้ลงลึกไปในเรื่องความคิดต่างๆ นานา ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ อาจเป็นเพราะเราได้เจอกันค่ะ

นายแบบ: โทนี่ รากแก่น จริญญา ศิริมงคลสกุล

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%