ความสวย ความสุข ความสำเร็จ และความรักในแบบ “แอน ทองประสม”

หากจะพูดถึงความสุขและความสำเร็จของแอน ทองประสม ในวันนี้ คงไม่ได้มีแค่เรื่องการได้คะแนนเต็ม 10 จากผลงานที่ผลิตออกมาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่เธอยังกระจายความสุขและความสำเร็จให้กับชีวิตด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ทัศนคติ ให้ขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กับการทำงานที่เหมือนเป็นฟังก์ชั่นหลักของแอนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ล่าสุดนางเอกสาวคนดังได้ประกาศความสามารถผ่านผลงานเรื่อง ‘กะรัตรัก’ ที่เพิ่งลาจอไปหมาดๆ ด้วยการเข้าถึงบทบาททางการแสดงในฐานะของผู้หญิงที่มีความรักกับผู้ชายที่อายุน้อยกว่า ซึ่งแม้จะห่างจากงานเบื้องหน้าไปถึง 6 ปี แต่เธอก็ยังทำการบ้านมาอย่างดีจนสามารถสร้างความสุขให้กับแฟนๆ พร้อมกันนี้ความสวยที่เรียกว่าอ่อนกว่าวัยของแอนก็เป็นการประกาศอยู่ในทีว่าวินัยในการกิน การใช้ชีวิตของเธอนั้นเป๊ะปังเพียงใด  

นอกจากจะคุยถึงผลงานเรื่องกะรัตรัก เรายังพูดคุยกับแอนถึงมิติต่างๆ ในชีวิตอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การดูแลสุขภาพ การมองโลกในวันนี้ ทุกอย่างที่แอนเล่าหรือแสดงความคิดเห็นล้วนอยู่บนพื้นฐานของคนที่เข้าใจโลกและยอมรับความจริง นั่นจึงทำให้เราเชื่อว่าถ้าแฟนๆ ได้อ่านบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ ก็น่าจะได้มุมมองดีๆ ในการใช้ชีวิตจากเธอไปปรับใช้ในหลายเรื่องเช่นเดียวกัน

กะรัตรัก ความท้าทายและการกลับมาในรอบ 6 ปีของแอน ทองประสม

กะรัตรักเป็นเรื่องที่แอนอ่านบทแล้วรู้สึกว่าอยากรู้จักโลกของผู้หญิงที่ไปรักผู้ชายต่างวัย เลยพาตัวเองเข้าไปเรียนรู้ แล้วก็รับเล่นโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่พลังงานที่จับได้ในระหว่างการทำงานคือเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่ามีความสุขไปกับการอ่านหรือสนุกไปกับตัวละคร คนดูก็จะรู้สึกเช่นกัน ซึ่งพอละครออนแอร์ก็ได้รับฟีดแบ็กตามนั้นจริงๆ

เรื่องที่ท้าทายแอนแน่ๆ ในการทำงานครั้งนี้ อย่างแรกคือการเคาะสนิมทางการแสดง เหมือนเราไม่ได้ออกกำลังกายมา 6 ปี แล้วตอนนี้ต้องวิ่งเครื่องวิ่งซึ่งร่างกายไม่พร้อมเลย อย่างเรื่องการจำบทก็ต้องหาวิธี ยากเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ เรื่องที่ท้าทายต่อมาคือแอนต้องเล่นกับเจมส์ที่ชีวิตจริงเราอายุห่างกัน 17 ปี นี่มันลูกหลานเลยนะ (หัวเราะ) แล้วเราจะรักเขายังไงดี ความรักจะเกิดยังไง ต้องยอมรับว่าเล่นละครเราต้องอิน ถ้าไม่อิน ไม่จริง ก็จะไม่จริงสำหรับคนดู เพราะฉะนั้นแอนต้องรักเจมส์ให้ได้ คิดว่าต้องกอดยังไงให้รู้สึกขนลุก ไม่ได้ให้รู้สึกเป็นพี่น้องหรือเป็นลูก (หัวเราะ)

แอนเปิดดูงานเจมส์ทั้งหมดอย่างละเอียดและเจาะลึก ต้องพยายามมองแบบตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ โปรแกรมตัวเองเพื่อหามุมดีๆ เกิดความรู้สึกดีๆ ให้ได้ ซึ่งกว่าจะหามุมตรงนั้นเจอก็ 2 เดือนนะคะ นอกจากนี้ยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองเรื่องรักต่างวัยมากพอสมควร ไปหา Quote มุมมองความคิดของฝรั่งเกี่ยวกับรักต่างวัยว่าเขามองยังไง เพื่อที่จะละลายความรู้สึกตรงนี้ของตัวเอง เช่น Quote ที่บอกว่า “ฉันไม่เคยมองว่ามันเป็นกรอบของอายุ ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาทำให้ฉันหัวเราะ ฉันจะร่วมเป็นเด็กไปกับเขา” พออ่านแล้วก็เข้าใจ สนใจอะไรเรื่องวัย ถึงจะมีริ้วรอย มีตีนกา แต่ก็ยังขี้งอนได้ ร้องไห้เป็น เจ็บปวดเป็น ก็ชั้นเป็นผู้หญิง (หัวเราะ)

มุมมองเรื่องรักต่างวัยในเวลาที่เปลี่ยนแปลง

ถ้าย้อนกลับไปตอนอายุ 20 เรื่องรักต่างวัยไม่มีอยู่ในหัวเลย เพราะโตมาในกรอบที่ถูกจัดวางอย่างหนึ่ง แต่เด็กที่เริ่มโตในยุคนี้จะมีวิถีที่เป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแอนที่ทำงานมาตั้งแต่ยุค 90’s แล้วต้องข้ามมาอีก 2 ยุค คือ Gen-Y, Gen-Z ก็ต้องข้ามมาให้ได้ ซึ่งไม่ง่ายเหมือนกัน การทำงานในเรื่องกะรัตรักทำให้มุมมองของแอนในเรื่องนี้เปลี่ยนไปเลยค่ะ แปลกมากที่วันนี้เรามองเด็กให้ไม่เด็กได้แล้วเหมือนกัน เช่น นักแสดงที่มาเข้าฉากกับเรา เล่นเป็นน้องชายเรา เราก็มองเขางดงามในแบบผู้ชายปกติได้โดยไม่ต้องมองเป็นน้อง รู้สึกได้เลยถ้าเมื่อไหร่เกิดความรู้สึกรักแล้ว คุณไม่ต้องไปสนใจแล้วว่ากรอบมันคืออะไร แต่ทุกอย่างต้องมีกติกาและศีลธรรมนะคะ เช่น ต้องไม่ไปแย่งของเขามา ไม่ไปทำลายอนาคตเขา เขาไม่มาเป็นชู้เราเพราะเรามีแฟนผู้ใหญ่อยู่แล้ว ทุกอย่างต้องมีความสมดุลกัน

แอนมองว่ารักต่างวัยในแบบที่ผู้หญิงอายุมากกว่ามีความรักกับผู้ชายอายุน้อยกว่าเป็นเคมีที่พิเศษมาก เราต้องมีการให้ซึ่งกันและกัน เพราะจังหวะชีวิตเราไม่เท่ากัน วันหนึ่งต้องมีใครสักคนที่ต้องเสียสละ อย่างเช่น ถ้ากะรัตคบกับไอ่ไปจนอายุ 50 ในชีวิตจริง เวลานั้นไอ่จะอายุ 30 กว่าๆ กำลังฟิต แล้วอาจกำลังจะหัวใจพองโตกับผู้หญิงคนอื่นๆ มีเคมีกับรักใหม่ๆ กำลังเรียนรู้ชีวิต กะรัตก็ต้องปล่อยให้ไอ่ได้ก้าวเดินไปใช้ชีวิต เพราะตัวเองก็เดินมาหมดแล้ว และอีกอย่างหนึ่งถ้าคิดจะมีแฟนเด็ก ก็ต้องดูแลตัวเอง เพื่อจัดสมดุลให้กับเขาให้ได้ จะมาเหี่ยวย่น ไม่ดูแลตัวเองแล้วให้เขามาลุ่มหลงมันยากนะ ความสวยงามก็สำคัญกับความรู้สึก ถ้าสมมติว่าคุณ 50 แล้วกายภาพของคุณยังเจ๋งอยู่จะเป็นอะไรที่ดีต่อใจตัวเองมาก

จุดเปลี่ยนสำคัญและการจัดสมดุลชีวิต  

5 ปีที่ผ่านมาชีวิตแอนเปลี่ยนไปพอสมควร ก่อนหน้านั้นแอนมุ่งมั่นทำงานจนลืมดูแลตัวเอง แล้วคิดว่าความสำเร็จของงานคือตัวชี้วัดความมั่นคงของเรา เพราะแอนเป็นคนขี้กลัว เช่น กลัวว่าตอนแก่จะอยู่ไม่ได้ ไม่มีเงินใช้ ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีงานทำ ความกลัวตรงนั้นทำให้แอนขยี้ตัวเองจนเหนื่อย ร่างกายเราโทรม อ้วน เป็นโรคกรดไหลย้อน เข่าเจ็บ ตึงคอ ยิ่งก้าวมาเป็นผู้จัดละครยิ่งทำงานหนักขึ้น หลังจากทำละครเรื่องเพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษเสร็จ แอนบินไปเวียนนา ร่างกายมันคงวีคไปจริงๆ เหมือนเราถอดปลั๊กออกไปเที่ยว แล้วไปเจออากาศก็เลยติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ป่วยหนักมาก แอนนอนอยู่ในโรงแรม มองเห็นพลุ ได้ยินเสียงเพลงแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ร่างกายแอนกลับขยับเดินไปมองมันไม่ได้ แอนบอกกับตัวเองว่า นี่ฉันเสียเงินตั้งเท่าไหร่เพื่อที่จะข้ามประเทศมาเที่ยว แล้วฉันได้แค่มานอนฟังเสียงพลุเท่านี้เองเหรอ นั่นแหละคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้แอนกลับมาปรับสมดุลชีวิตใหม่

แอนเริ่มเปลี่ยนการใช้ชีวิตโดยใช้การออกกำลังกายเข้ามาจัดสมดุล เพราะไปตรวจสุขภาพมา เลือดก็ไม่ดี อะไรก็ไม่ดี เลยเริ่มหาทาง ทำให้ตัวเองร่างกายแข็งแรงขึ้น ปกติแอนจะนอนสักตีสอง ตื่นประมาณเก้าโมงหรือสิบโมงไปถ่ายละคร แต่แอนเปลี่ยนใหม่ เช่น วันแรกๆ ยังต้องนอนตีสองใช่ไหม ได้ ไม่เป็นไร แต่หกโมงเช้าต้องลุกแล้วไปวิ่ง ช่วงแรกๆ วิ่งได้ 10 นาทีก็จะตายแล้ว ทรมานมาก ถึงอย่างนั้นเราก็ฝึกตัวเองให้ตื่นเช้าทุกวัน ซึ่งพอนานวันเข้าการตื่นเช้าทำให้เรากลายเป็นคนนอนเร็วเพราะร่างกายจะเป็นฝ่ายจัดการตัวเอง

เมื่อก่อนจากเคยนอนตีสอง ลดลงมาเป็นเที่ยงคืน ห้าทุ่ม ทุกวันนี้ สามทุ่มครึ่งแอนก็หลับได้แล้ว ซึ่งพอเราตื่นเช้าขึ้น เวลาก็เหลือเยอะขึ้น และพอร่างกายเราดีขึ้น โรคที่เคยรบกวนต่างๆ ก็หายไป รู้สึกสบายเนื้อตัว อารมณ์เลยดีขึ้น คิดงานได้โฟลว์ขึ้น มองโลกสีพาสเทลมากขึ้น เมื่อก่อนแอนไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่เพราะตีความกับทุกอย่างที่เข้ามาว่าต้องมีนัยยะ ความคิดจะเป็นสีเทาๆ แล้วยังนอนน้อยด้วย เหนื่อยด้วย ทำให้เราหวาดระแวง อารมณ์ไม่ดี พอปรับตัวใหม่ กลายมาเป็นสุขภาพดี แข็งแรง สมดุลชีวิตก็ดีขึ้น แต่งานก็ยังเป็นที่หนึ่งสำหรับแอนนะคะ

ออกกำลังกายจนไปถึงจุดที่เราพอใจในหุ่นของตัวเอง 

ถ้าออกกำลังกายเราต้องทำไปถึงจุดที่เราพอใจในหุ่นของตัวเองนะ ไม่ใช่แค่สุขภาพดี เพราะสุขภาพดีนี่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กายภาพข้างนอกเราสวย มีคนชม ออกมาในกล้องแล้วไม่ดูแก่ กำลังใจเหล่านี้ต่างหากที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้รู้สึกเหมือนกลับมาเป็นสาวอีกครั้ง แล้วแอนก็บ้ายอด้วยนะ (หัวเราะ) เลยอยากจะรักษาหุ่นตัวเอง ทำให้กลับมาดูแลเรื่องกินมากขึ้นด้วย เรื่องผอมเนี่ย ออกกำลังกายช่วยได้แค่ 30 % แต่เรื่องการกินช่วยได้เยอะกว่า เลยต้องกลับมาจัดสมดุลการกินด้วย ไม่ได้ทรมานตัวเองนะคะ ค่อยๆ เริ่มจากอาหารเฮลธ์ตี้ก่อนเพื่อให้ลิ้นตัวเองชินกับรสชาติอาหารที่ไม่มีผงปรุงรส เพราะพอกินแบบนี้นานวันเข้า เดี๋ยวนี้กินก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ต้องปรุงแล้ว โซเดียมก็ไม่เยอะ ดื่มน้ำเข้าไป ร่างกายก็ไม่บวมน้ำ ทุกอย่างไปด้วยกันหมดเลย ขนมถุงแอนก็เลี่ยงไม่กินเลยนะ มากินผลไม้แทน กินอาหารจากธรรมชาตินี่ดีสุด แอนไม่ได้ฮาร์ดคอร์มากนะคะ แต่จัดการกับความรู้สึกตัวเองว่าถ้าหิวก็กินผลไม้ แต่ต้องมีวิตามินเสริมที่จำเป็น เพราะเราอยู่ในยุคที่เราต้องต่อสู้กับไวรัสหรืออะไรที่มันพัฒนาไปมากกว่าจะมาใช้ออร์แกนิกช่วยอย่างเดียว เลยต้องมีการกินวิตามินซี กินอาหารเสริมช่วยด้วย

เปรียบเทียบร่างกายเป็นถังขยะสีดำ 

แอนชอบมองตัวเองเป็นถังขยะสีดำใบนึง เรากินอะไรเข้าไปยังไงก็อยู่ในนั้นแหละ สมมติว่าวันนี้แอนกินเนื้อสัตว์ กินอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย ของเหล่านี้ก็จะกองรวมกัน ถ้าผ่านไป 1 วัน ของเหล่านั้นก็จะบูดอยู่ในร่างกายของเรา ถ้าเรากินเกินเรื่องหรือจัดสมดุลไม่ดีก็จะมีกลิ่นเหม็นออกมา หรือมาตามเหงื่อ เราเลยต้องเป็นถังขยะที่เลือกว่าจะเอาอะไรใส่เข้ามา แอนจะไม่กินเพราะเสียดาย เราต้องดูแลเขา สะกดจิตตัวเองแบบนี้จะทำให้เรามีกำลังใจเวลาที่จะหยิบอะไรเข้าปาก หรือพยายามคิดว่าร่างกายเป็นลูกสาวของเรา เวลาที่จะตักอาหารอะไรเข้าปากลูก เราจะเลือกให้ลูกเรามากๆ แอนเลยพยายามบอกตัวเองว่า เรากินเมนูนี้  กินผลไม้เพราะอะไร น้ำแบบนี้ไม่ชอบแต่ต้องดื่มบ้างเพราะวิตามินซีมันสูง ก็ดื่มเข้าไป คุยกับตัวเองแบบนี้จนเราชิน

ความอิสระในการพูดคุยและตอบคำถาม

แอนสังเกตตัวเองเหมือนกันนะว่าหลังๆ มานี่เรามีอิสระในการตอบคำถามหรือการพูดคุยมากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็เลยชิลล์ ยอมรับว่าในยุคแอนก็ต้องมีปิดกันบ้าง แต่พอมาตอนนี้เมื่อโลกเปิดแล้ว เราเองก็เดินตามโลก ถ้ารู้สึกอะไร จริงใจกับสิ่งที่รู้สึก แอนเลือกที่จะพูดความจริงดีกว่า เลยรู้สึกอิสระกับการที่จะแสดงความคิดเห็นอะไร บางเรื่องไม่ต้องพูดก็ได้ แต่ทำไมต้องพูดล่ะ ก็ไม่มีใครตายไม่ใช่เหรอ แอนก็พูดขำๆ ของตัวเองไป

มีความสุขกับตัวเลขของอายุที่เพิ่มขึ้น

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ถ้าแอนโดนบูลลี่เกี่ยวกับเรื่องอายุที่มากขึ้นจะรู้สึกเสียเซลฟ์มากเลยนะ เพราะถ้าใครสักคนอยากให้เราเจ็บใจ แต่ว่าอะไรเราไม่ได้ เขามักจะหยิบเรื่องอายุมาต่อว่าเพื่อทำให้เราเจ็บปวด แล้วเราก็หนีความจริงที่เขาว่าไม่ได้ด้วย (หัวเราะ) แต่พอเดินทางผ่านเวลามาเรื่อยๆ ก็พบว่ายิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งสงบขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น พอมองย้อนกลับไป แอนกลับรู้สึกว่าทำไมตอนอายุ 30 เรานิสัยไม่ดี แต่พอเราอายุ 40 เรากลับผ่อนคลาย ใจเย็น อ่อนโยนขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น แอนชอบผู้หญิงคนนี้ในตอนนี้มากกว่า นอกจากนี้เรื่องกายภาพก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น คนเรายังต้องดูอะไรที่งดงาม เราต้องสวยตามวัย แต่ถ้าอาชีพอย่างแอนควรจะต้องสวยย้อนวัยลงมาจากคนทั่วไปสัก 5 ปี เพราะว่าในกล้องจะเห็นชัดกว่าการมองตาเปล่า คนทั่วไปเขาไม่ได้มาอยู่ในกล้องเหมือนเรา เราเล่นละคร ทำงานตรงนี้ เลยต้องรักษาตัวเองค่อนข้างเยอะ

สวยในแบบแอน ทองประสม

สมัยก่อนก็มีลองทำโน่นทำนี่บ้างนะคะ แต่สมัยนี้แอนไม่ทำอะไรเลยนอกจากใช้ครีมบำรุงปกติ นวดหน้าด้วยมือและนวดด้วยเครื่องโดยใช้ไฟฟ้ากระตุ้นให้ลงลึกขึ้น แอนถึงเก็บริ้วตัวเองได้ไม่เหมือนคนอื่น เลยยังมีให้เห็นในกล้องอยู่ เท่าที่สังเกตคือพอเข้าโปรแกรมนวดสัก 2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น กลายเป็นว่าเวลานวดมือ หน้าแอนดูสดชื่นกว่านวดด้วยเครื่องอีก เรื่องนี้แล้วแต่เทคนิคใคร เทคนิคมัน ร่างกายเราถูกจริตกับอะไร แต่นวดด้วยเครื่องต้องทำนะคะ เพราะจะได้ช่วยขจัดความสกปรกบนผิวหน้าหรือความแห้งกร้าน ออกไปบ้าง พอวัย 40 กว่าเราจะออร์แกนิกหมดคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีวิทยาศาสตร์มาช่วยด้วย ซึ่งแอนนวดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ตอนถ่ายกะรัตรักแอนก็ใช้วิธีนี้นะ ซึ่งก็พอช่วยได้

ทางกายภาพเราก็ใช้ทั้งออร์แกนิกและวิทยาศาสตร์มาช่วยรักษาสมดุล แต่ในเรื่องจิตใจต้องใช้พลังงาน ความรู้สึกจริงๆ และความสดชื่น การมีความรักในงาน การมีความรักในเพื่อนร่วมงานช่วยเราได้นะ แอนรู้สึกว่าวันนี้ถ้าเรามีความรักให้กับอะไรสักอย่าง ความรู้สึกนี้จะกลายเป็นพลังงานที่ทำให้เราสดใส แอนเชื่อเรื่องความรู้สึกข้างในสูงมาก อย่างในวันนี้อาจไม่มีปั๊ปปี้เลิฟ ก็ไม่ต้องไปเรียกร้องเพราะรักมาได้จากหลายทิศทาง เช่น แอนรู้สึกว่ารักในละคร ‘คือเธอ’ ที่ทำมาก อยากวิ่งไปหากองถ่าย อยากไปเจอญาญ่า มาริโอ้ พี่แอ้วผู้กำกับ อยากหยิบบทของแอนขึ้นมาอ่าน เลิฟเหล่านี้ก็ทำให้หัวใจเราสูบฉีดเหมือนกัน การที่เราไปออกกำลังกาย วิ่ง เดิน เจออากาศที่ดี ได้ใส่รองเท้าดีๆ เจอผู้คนที่มีทัศนคติที่ดี ใจเราก็พองโต พลังงานของความรักก็ได้แสดงออกมา

ความสำเร็จที่มาพร้อมกับความสุข

ช่วงแรกที่ทำงาน แอนค่อนข้างประสบความสำเร็จมาก แต่มาตอนนี้เราเกลี่ยความรู้สึก เกลี่ยพลังงานในการใช้ชีวิตไปด้านอื่นๆ ไม่ได้หมกมุ่นอยู่แค่เรื่องงานอย่างเดียว ตอนนี้งานแอนอาจไม่พีคเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ ความสำเร็จที่เคยได้เต็ม 10 วันนี้อาจเป็น 8  ก็ได้ แต่ตัวแอนยังเต็ม 10 อยู่นะ เพียงแต่ไม่ได้ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับงานเหมือนแต่ก่อนแล้ว มีความรู้สึกว่าความสุขของเรายังมีด้านอื่นๆ ที่อยากละเลียดด้วย ดังนั้นถ้าวันนี้จะมีคนปรบมือให้งานแอนด้วยเสียงที่เบาลงก็เข้าใจได้ แต่ยังไงก็ยังต้องได้มาตรฐาน ต่อให้ต้องออกกำลังกาย จัดสมดุลให้ชีวิตยังไงก็แล้วแต่ งานก็ยังเป็นฟังก์ชั่นชิ้นสำคัญอันดับต้นๆ ในชีวิตอยู่ดี

เมื่อการแต่งงานไม่ใช่ประเด็น และวิธีกระชับความสัมพันธ์มากว่า 20 ปี

แอนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเราจะไม่ได้แต่งงาน เพราะเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วยังบอกเลยว่าจะแต่งนะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร กลับรู้สึกพอใจในความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตระหว่างเรากับเขาในรูปแบบนี้ด้วยซ้ำ เพราะเรายังรักกันตลอดเวลา เพียงแต่ถ้าอย่างนั้นเราจะจับมือกันเดินยังไงต่อไปมากกว่า ซึ่งพอมาถึงวันที่แอนอายุ 45 ส่วนเขาอายุ 47 กลายเป็นว่าชีวิตเราต้องการเพื่อนสักคนที่อยู่ข้างๆ พอมีเรื่องน้ำไม่ไหลหรือไฟดับก็ยังหันไปช่วยกันดูได้ ถึงแม้เราจะรักกันเหมือนก่อน แต่เสน่หาบางอย่างมันไม่เหมือนเดิม แต่กลับมีความเป็นเพื่อน เป็นพี่เข้ามาแทนที่ ซึ่งช่วยให้บางทีตอนที่เขาว่าเราแรงๆ เรากลับไม่โกรธเขาเหมือนคนที่เป็นแฟนโกรธกัน แต่กลับรู้สึกเหมือนโดนพี่หรือเพื่อนว่ามากกว่า ตอนนี้เราสองคนกลายเป็นพาร์ตเนอร์ชีวิตกันไปแล้ว

แอนกับคุณเอคบกันมา 20 ปีแล้ว และคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เรายังเดินจับมือกันมาจนถึงวันนี้เพราะเราไม่ทรยศกัน เขาเป็นคนที่ทำให้เราเชื่อใจและให้ความสำคัญกับแอนเสมอ เขาเลือกที่จะรอกินข้าวพร้อมแอน เลือกที่จะเดินไปเที่ยวพร้อมแอน เป็นคนรอแอนตลอดเวลา อะไรเหล่านี้เป็นเรื่องที่บอกเราไปหมดแล้วว่าเขาจริงใจกับเราแค่ไหน แล้วเขาจะงอนมากถ้าไม่ค่อยมีแอนอยู่ในชีวิต ไม่ได้บอกว่าแอนสวยนะ (หัวเราะ) แต่เราอาจเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ รู้สึกว่าคุณเอยังต้องการแอนตลอดเวลา เพราะงานคุณเอเขาไม่ได้หลากหลายเท่าแอน คนที่ต้องเป็นฝ่ายอดทนคือเขา แต่แอนก็รัก ซื่อสัตย์ และหวังดีกับเขา อะไรเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้เรายังรู้สึกดีต่อกันอยู่     

นางแบบ: แอน ทองประสม

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน, กาซาลอง คำจริง

สถานที่: Marie Guimar โทร. 02-2585697, 081-855-1920

ติดตามเรื่องราวของ “Someonestoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%