ถอดบทเรียนในทุกความสัมพันธ์ของผู้หญิงที่ชื่อ สู่ขวัญ บูลกุล

นอกจากจะมองโลกตามความเป็นจริงของชีวิต ความสุขของสู่ขวัญ บูลกุล ยังมาจากความสัมพันธ์อันดีที่เธอและคนรอบตัวต่างส่งมอบให้กันและกันมาตลอด ซึ่งเธอบอกกับ someonestory.co ถึงเหตุผลที่เธอให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ว่านั่นเพราะความสุขของเธอคือการได้อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วย ได้อยู่กับเพื่อนที่รู้สึกมีความสุข ได้ทำงานกับคนที่รู้สึกว่ามากกว่างาน ซึ่งเมื่อตอบตัวเองได้แล้วว่าความสุขในชีวิตของเธอขึ้นอยู่กับผู้คนเหล่านั้น เธอจึงให้ความสำคัญกับคนเหล่านั้นมาก วันนี้เราจะมาคุยกับเธอกันว่านอกจากจะได้รับความสุขจากคนรอบตัวที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วย สู่ขวัญ บูลกุล มีวิธีการบริหาร จัดการ รับมือ กับทุกความสัมพันธ์อย่างไร เธอได้เรียนรู้และมีมุมมองอย่างไรกับความสัมพันธ์เหล่านี้บ้าง

เรียนรู้ความจริงของชีวิตและความทุกข์จากการสูญเสีย

ขวัญสูญเสียคุณพ่อและคุณแม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คุณพ่อท่านเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลนานมาก เราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่การจากไปอย่างกะทันหัน ขึ้นอยู่ว่าหมดเวลาของท่านเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นตลอดระยะเวลาก็ทำใจน่ะ จนถึงระยะสุดท้ายเป็นระยะที่อยู่โรงพยาบาลด้วยความทรมานจริงๆ ตอนนั้นอยากเห็นคุณพ่อหลุดพ้นจากความทรมานนี้มากกว่า เพราะเรารู้ว่ามันไม่มีทางที่จะดีขึ้น ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนเข้าโรงพยาบาลก็เป็นไปไม่ได้ รู้สึกว่าเราอยู่ได้ แต่ว่าหลังจากวันที่พ่อจากไปแล้วจริงๆ ความคิดถึงมันมีและถาโถมรุนแรง เพราะเป็นคนที่อยู่กับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก บางคนก็บอกว่าโอเคนะ คุณพ่อไปสบายแล้ว เข้มแข็งนะ เราก็คิดว่า ใช่ พ่อเราไปสบายแล้วจริงๆ แต่บางครั้งก็มีความรู้สึกว่ามันเศร้ามาก อยากร้องไห้ ซึ่งขวัญโอเคกับเรื่องร้องไห้ ถ้าชีวิตมันดีขึ้นด้วยการร้องไห้ ก็ร้องเถอะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะทุกอย่างที่คุณพ่อทำล้วนคู่ควรแก่การเศร้า คู่ควรกับการเสียใจของเรา ขวัญไม่ได้ต่อสู้กับตัวเองในเรื่องของอารมณ์ เพราะนี่คือเรื่องธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่าเราเหลือความระลึกถึงและเป็นพลังได้เมื่อไหร่ให้มันเป็นสัดส่วนที่มากกว่าการเศร้าแบบหมดเรี่ยวหมดแรง และในความรู้สึกขวัญ พ่อเราไม่ได้หายไปไหน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าพ่อน่าจะไปอยู่ในที่ที่ดีกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ เลยไม่ได้ทำให้เราติดอยู่ในความทุกข์มาก เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เจอกัน แต่ไม่ได้รู้สึกว่าหายไป ไม่ได้ฉีกขาดจากกัน

จนมาถึงตอนคุณแม่ ท่านก็มาเสียตามอีกประมาณปีครึ่งจากนั้น ซึ่งทันทีที่เรารู้ว่าคุณแม่มีมะเร็ง เราก็ทำใจเลยว่าทำทุกอย่างที่มันเป็นประโยชน์ ทำทุกอย่างที่ทำได้ ที่สำคัญคือคุณแม่ต้องไม่เจ็บไม่ปวด คือบางอัน สมมติว่ามันเจ็บประมาณนี้ มันโอเค เราโอเค แต่ถ้าสมมติว่าเป็นการยื้อชีวิตไปเรื่อยๆ แต่คุณแม่ต้องอยู่อย่างทรมาน ไม่เอา ขวัญว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนก็จะคิดแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าตัวค่อนข้างพร้อมว่าเราได้ใช้ชีวิตมาเต็มที่แล้ว บั้นปลายก็ไม่ได้อยากที่จะอยู่ถึง 90 หรือ 100 แต่อย่างน้อยขอให้ไม่เจ็บปวดทรมาน ถ้าสมมติว่านี่เป็นไอเดียที่ตรงกัน เราก็จัดการกับมันง่าย เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันแรกที่เรารู้ว่าคุณแม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็ทำใจ ธรรมชาติเตือนเราตลอดเวลาว่าความสำคัญของเวลาคืออะไร และอะไรคือเรื่องสำคัญที่เราควรที่จะให้เวลาด้วย ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องพวกนั้นเลย วันหนึ่งถ้าจะต้องทนทุกข์กับมันก็เพราะเราทำตัวเอง ขวัญคิดแค่นี้ จนวันที่คุณแม่เสีย เราก็คิดถึง นึกถึงเรื่องราวเก่าๆ มันก็สะเทือนใจแน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่เข้ามาในใจขวัญก็คือสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้พ่อแม่เสียไปหมดแล้ว สิ่งที่จะทำต่อจากนี้คือสิ่งที่มีประโยชน์ จะทำสิ่งที่ดี และมีคนที่รู้สึกว่าสิ่งที่ขวัญทำ มันดีนะ แม้กระทั่งเราเป็นคนดี เพราะสุดท้ายแล้วมันหนีไม่พ้นที่คนเหล่านั้นจะนึกถึงพ่อแม่เราว่าเขาปลูกฝังมาอย่างไร เขาสอนมาอย่างไร ขวัญก็รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะตอบแทนพ่อแม่เราได้ต่อไป แค่สังขารท่านเท่านั้นที่ท่านไม่อยู่แล้ว แต่เรื่องราวมันไม่จบ ขวัญยังเล่าเรื่องราวพ่อแม่ ยังเล่าเรื่องคุณยายเลี้ยงขวัญมาตั้งแต่เด็กผ่านตัวขวัญได้อยู่เสมอ และรู้สึกว่าสิ่งนี้มันยึดโยงเราไว้ เราไม่มีทางขาดกัน

ความรักที่มาพร้อมความรับผิดและรับชอบ

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มอบไว้ให้กับขวัญเรื่องหนึ่งคือวันนี้ที่เราเป็นแม่คน ทุกเรื่องที่ดีและเลวของลูก พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ จะมาบอกว่าฉันสอนลูกดีนะ แต่ลูกไม่รับ ไม่ใช่ เราจำเป็นต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องดีและไม่ดีของลูก เพราะเขาเป็นลูกเรา และทุกอย่างที่เป็นขวัญก็ไม่ได้ดีทั้งหมด ขวัญก็มีจุดอ่อน จุดด้อย จุดที่จะต้องแก้ไข ซึ่งพ่อแม่ขวัญก็รับทั้งหมดเหมือนกัน หลายอย่างที่ทำให้เป็นขวัญในทุกวันนี้ ก็มาจากสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือทำ หรือบางครั้งสิ่งที่เขาทำที่ถึงแม้เราไม่ชอบ แต่ก็จะเป็นสิ่งที่เราบอกกับตัวเองว่าเราจะไม่ทำสิ่งนั้น แปลว่าพ่อแม่เรามีสิ่งที่ไม่ดีหรือเปล่า และเราก็มีสิ่งที่ไม่ดีเหมือนกัน ดังนั้นทัศนคติ ค่านิยมของพ่อแม่ การปฏิเสธหรือการยอมรับอะไรบางอย่างของพ่อแม่ มันถูกถ่ายทอดมาให้ลูกทั้งหมด เชื่อว่าสิ่งที่เป็นตัวเราในวันนี้ ทุกๆ อย่างมันเกิดจากครอบครัวเรา และเขาก็รับทั้งเรื่องดีและไม่ดีของเราเหมือนกัน เราจึงต้องรับเรื่องเหล่านี้ของลูกได้เหมือนกันค่ะ

พ่อแม่ต้องปรับตัวเข้าหาลูก

ในบทบาทของแม่ การรับมือกับปราบ (ปราบ บูลกุล) ในวันนี้ค่อนข้างยาก เพราะว่าตอนนี้อายุ 15 กำลังโต ความต้องการสร้างตัวตนของเขามีสูง เริ่มค้นพบตัวเอง โลกส่วนตัวเขาจะค่อนข้างสูง การที่เราจะเข้าไปก็ยากมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เพราะย้อนกลับไปตอนเราอายุ 15 ม.3 ขวัญก็เป็นนะ ไม่อยากให้ใครเข้าห้อง สมมติคนเคาะประตู เราจะเปิดประตูรับที่หน้าห้องเลย ถามว่ามีอะไร แต่ไม่บอกว่าเข้ามานั่งสิ ไม่ใช่ไม่รัก เพียงแต่ว่านี่ห้องเรา ทุกวันนี้ปราบก็เป็นแบบนั้น เป็นพัฒนาการตามวัย เขาต้องการความเป็นส่วนตัว บางครั้งที่เขาอยากคุยกับเรา เขาก็คุย บางครั้งที่เขาอยากอยู่ในโลกส่วนตัว ก็ต้องปล่อย คนที่จะต้องเปลี่ยนคือพ่อแม่ก่อน ขวัญเลยจัดให้ตามความเหมาะสม บางทีไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แต่เราพร้อมจะให้ ถ้าวันนี้ปราบอยากจะเที่ยวกับแม่ อยากกินข้าว นอนกับแม่ ไปทะเลกับแม่ เราให้เลย 100 เปอร์เซ็นต์ แคนเซิลทุกอย่าง ไปได้เลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เขาต้องการเรา กอดกัน นั่งตัก จับมือ วันนี้ไม่ต้องการอะไรเลย ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา แต่ขวัญก็พยายามนะคะอย่างน้อยอะไรก็แล้วแต่ มื้อเย็นกินข้าวด้วยกัน นั่งคุยกันเผื่อจะมีอะไร ซึ่งทุกวันนี้เขาก็จะดูยูทูบหรือดูอะไรของเขาทางโทรศัพท์อยู่บนโต๊ะกินข้าว เราก็พยายามคุย พยายามดึงเรากับเขาให้ได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง แต่มันไม่ประสบความสำเร็จทุกครั้งค่ะ เพียงแต่บางครั้งก็ต้องพยายามนึกว่า เอ๊ะ เราชวนเขาคุยเรื่องอะไรดี ซึ่งประมาณสัก 70 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่เรา bring up ขึ้นมา เขาไม่สน (หัวเราะ) เขาก็จะกลับไปใส่หูฟังของเขาต่อ แต่เราก็พยายามสอนเรื่องมารยาทว่ากินข้าวมันไม่ควรทำนะ ถอดหูฟังออก วางโทรศัพท์ลง กินข้าวนี่ให้เวลาเต็มที่ 15 นาทีก็เสร็จแล้ว เพราะเราไม่ได้ละเมียดละไมกิน หรือถ้าปราบจะรีบไปเล่นเกมหรืออะไร 10 นาทีก็กินเสร็จ แล้วไปได้เลย

แต่ด้วยความที่ปราบเป็นลูกคนเดียว เขาไม่มีตัวเปรียบเทียบ ถ้าสมมติเรามีลูก 2-3 คน บางทีถ้าคนโตโดนดุเรื่องนี้ คนกลางเรียนรู้ละว่าทำแบบนี้พ่อดุ ทำแบบนี้แม่ดุ คนโน้นคนนี้ก็จะเรียนรู้ ทุกคนเรียนรู้กันและกัน เขาจะไม่รู้สึกว่าเขาโดนอยู่คนเดียว สิ่งที่ขวัญบาลานซ์คืออย่าให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างมารุมอยู่ที่เขา เพราะฉะนั้นค่อยเป็นค่อยไป เอาเท่าที่ได้ คือใจขวัญก็อยากบอกเขานะว่า หยุด วาง มารยาท ห้าม แต่ก็ต้องดูธรรมชาติของลูกเราด้วย เขาอาจรู้สึกว่าอะไรก็ผิด อะไรก็ไม่ได้ เราไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้น บางครั้งก็ใช้วิธีว่าคุยอะไรกันแล้วมันสนุกบนโต๊ะกินข้าว ซึ่งบางทีเขาบอกว่าจำได้ไหมตอนนั้นคุยเรื่องนั้นแล้วสนุก ตลกมาก ปราบไม่เคยรู้มาก่อนเลย เราก็จะแอบแวบเข้าไปว่า เห็นไหมถ้าวันนั้นปราบนั่งเล่นเกมหรือใส่หูฟังนะ เราก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลย ขวัญใช้วิธีแบบนี้มากกว่า พยายามหาอะไรที่คิดว่าเราน่าจะคุยและแชร์กันได้ถ้ามีโอกาส แต่เรื่องพวกนี้มันขึ้นอยู่กับนิสัยของเด็กแต่ละคนด้วย เราต้องปรับตัวเข้าหาเขาเพราะเขาเป็นไปตามธรรมชาติ

รักษาความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ด้วยคำสัญญาและความเข้าใจ

ชีวิตคู่ของขวัญเป็นชีวิตคู่ธรรมดาเหมือนคนทั่วๆ ไป มีสุข มีทุกข์ มีวันที่ โอ๊ย น่ารักจัง กับวันที่ขอห่างกันสักพัก การที่คนสองคนอยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะกันบ้าง เข้าใจกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้างคือเรื่องธรรมชาติ เหมือนกับว่าเราชอบช่วงพระอาทิตย์ตกดิน อากาศก็ไม่ร้อน โรแมนติกมาก จนมีความรู้สึกว่าอยากให้ชีวิตมีแต่ช่วงพระอาทิตย์ตกดินไปตลอด พอเจอเที่ยงปุ๊บ ช็อก ซึ่งอย่างนี้เราผิดธรรมชาติเอง ขวัญรู้สึกว่าชีวิตคู่เป็นเรื่องของฤดู ร้อน ฝน หนาว พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เที่ยงวัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีปัญหาเลยไม่รู้สึกช็อก อาจต้องชื่นชมพี่โชค (โชค บูลกุล) ที่ไม่มีเรื่องที่ทำให้เราตกใจว่าตั้งแต่ฉันคบเธอ ฉันไม่รู้นะว่าเธอมีมุมนี้ด้วย ขวัญว่าตัวเองโชคดีนะที่พี่โชคไม่ใช่คนที่ชอบออกนอกบ้าน หายไปไหนไม่รู้ ต้องตาม ติดเพื่อน ต้องไปโน่นนี่ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจแบบนั้น รู้สึกว่าเราต้องใช้ความเข้าใจ เราแต่งงานมาครบ 17 ปีไปเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญคือเมื่อเราตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ มันเป็นการตัดสินใจที่ต้องบวกความรับผิดชอบ บางทีเคยได้ยินคนสมัยใหม่พูดว่าแต่งไปให้รู้ว่าชีวิตคู่เป็นยังไง อยู่ไม่ได้ก็เลิก ทำไมต้องแคร์ อย่ามีลูก จะได้เลิกได้ง่าย คิดแบบนี้ขวัญก็ว่าได้นะคะ ไม่ผิด แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนในชีวิตว่ามองเรื่องของชีวิตคู่ว่าคืออะไร ซึ่งขวัญมองว่าการมีชีวิตคู่คือคำมั่นสัญญาการสร้างครอบครัว ความรับผิดชอบ เลยทำให้มีความรู้สึกว่าเราต้องฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้ และทุกครั้งที่เราขัดใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ขวัญมองว่าการตัดสินใจแต่งงานของขวัญเกิดจากความต้องการของตัวเอง ไม่ได้เกิดจากใครบังคับ ไม่ได้เกิดจากการชี้นำ ไม่ได้เกิดจากการจับคู่ ไม่ได้เกิดจากอะไรเลย พี่โชคเองก็คิดและตัดสินใจเองเช่นกัน ดังนั้นดีไม่ดีไม่ใช่เลิก แต่รับผิดชอบด้วยการปรับเข้าหากัน เข้าใจกันให้ได้มากขึ้น นี่คือคอนเซ็ปต์การแต่งงานของเรา ดีหรือเลว เราทั้งคู่มีส่วนต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมาคู่เรามีทุกอย่าง ทุกข์-สุข รัก-โกรธ หัวเราะ-น้ำตา ซึ่งขวัญบอกตัวเองว่ามาจนถึงวันนี้รู้สึกดีใจที่ในวันที่เราไม่เข้าใจกัน เราอดทน เขาอดทน แล้วพยายามที่จะปรับเข้าหากัน ครั้งแรกไม่ได้ ครั้งที่ 2 ไม่ได้ ครั้งที่ 3 ไม่ได้ ได้ครั้งที่ 20 แต่เรายังพยายาม ดีใจที่เราฝ่าฟันทุกอย่างจนเรามีชีวิตครอบครัวต่อเนื่องมาถึงวันนี้ค่ะ

การเคารพและให้เกียรติ สร้างมิตรภาพที่ยาวนานกว่า 30 ปี

เวลาคนถามหรือสัมภาษณ์ว่าเราโชคดีเรื่องอะไร ห้ามคิด พูดเลย ขวัญจะบอกเลยว่า ขวัญโชคดีที่เจอคนดีในชีวิตเรื่อยๆ เสมอๆ รู้สึกว่าโชคดีเรื่องคน ในที่ที่ขวัญไป ในผู้คนที่รู้จัก ไม่ว่าจะทำงาน long term กับใคร หรือแค่เป็นจ๊อบๆ อะไรกับใคร เรามักเจอคนที่รู้สึกว่าเอ็นจอยที่จะอยู่ด้วยตลอด อย่างกลุ่มเพื่อนขวัญที่จุฬาฯ เรารู้จักกันมา 30 ปีแล้ว ไวเหมือนโกหก บางคนรู้จักกันตั้งแต่อยู่เซนต์โยฯ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล แต่พอมาฟอร์มเป็นกลุ่มนี้ก็เริ่มตั้งแต่ปี 1 ที่นิเทศฯ ซึ่งทุกคนที่รู้จักมักบอกว่ากลุ่มนี้น่ารักเนอะ เป็นเพื่อนที่ไม่เห็นเคยทะเลาะกันเลย 30 ปีที่แล้วเป็นยังไง 30 ปีต่อมาก็อยู่อย่างนั้น กินข้าวกันยังไงก็กินอยู่อย่างนั้น เที่ยวกันยังไงก็เที่ยวกันอยู่อย่างนั้น เสียงดังยังไงก็เสียงดังกันอยู่อย่างนั้น เป็นแบบนี้ทั้งๆ ที่เราอายุก็เปลี่ยนไปมาก จากวันที่เราอายุ 18 เข้าจุฬาฯ จนถึงวันนี้อายุจะ 50 กันแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด สถานภาพ หน้าที่การงาน มุมมองชีวิต แต่ว่าทุกครั้งที่เรากินข้าวนี่เหมือนมันปัญญาอ่อนเหมือนเดิม ทุกอย่างเละเทะ กินแบบไม่อั้น ความเปลี่ยนแปลงไปก็คือเราย่อยอาหารได้น้อยลง ขวัญรู้สึกว่ากลุ่มเราแต่ละคนค่อนข้างมีคาแร็กเตอร์เป็นของตัวเอง ไม่ค่อยมีใครเหมือนใครเท่าไร มีบางคนที่จะลีดเดอร์มาก บางคนอะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ บางคนก็มีบุคลิกเป็นพี่คนโต เป็นน้องคนเล็ก อาจเป็นส่วนผสมที่มันลงตัวหรือเปล่าไม่รู้ ก็เลยเหมือนกับคนนี้ ฉันอยากจะยังงี้ๆๆ คนที่เหลือก็เออๆ ยังไงก็ได้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยากไปเปลี่ยนแปลงอะไรใคร เราก็ชอบเพื่อนคนนี้ของเราเพราะเขาเป็นแบบนี้ และทุกคนก็ดูเหมือนจะยอมรับ อ๋อ คนนี้ก็อย่างนี้ล่ะ หรือถ้าไม่ใช่เรื่องที่โชคดีก็ ขวัญว่าแต่ละคนก็ให้ความเคารพความเป็นตัวของตัวเองของเพื่อนคนอื่นๆ ทำให้ 30 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่แบบตายละ เขาแตกกัน เขาโกรธกัน เขาไม่พูดกัน ไม่มีเลย (ตอนนั้นถ้ามีหนุ่มๆ เข้ามาจีบ เพื่อนในกลุ่มจะดูแลกันยังไง) ด้วยระบบของกลุ่มน่ารักตรงที่เราดูแลกัน สมมติไปเที่ยวกลางคืน มีหนุ่มมายุ่งกับเพื่อนเราคนนั้นคนนี้ เราจะมีระบบ protect เฮ้ย ไอ้นี่ไม่น่าไว้วางใจ จัดการขวางๆ คนนี้เดี๋ยวนี้ หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันเป็นกลุ่ม อุ๊ย มีผู้ชายคนนี้มาจีบเพื่อนเรา พาเพื่อนเราไปกินข้าวแล้วเดี๋ยวมาส่ง ถามเลยกลับกี่โมง บอกว่าห้าทุ่ม โอเค ห้าทุ่มนะ ห้าทุ่มไม่กลับ โทรตามถามว่าทำไมยังไม่กลับ ซึ่งขวัญประทับใจมากเลยนะ เราเคยย้อนคิดกลับไปว่าวันเวลาที่เราเป็นวัยรุ่น กำลังโต แล้วโลกเป็นอิสระ ทำอะไรก็ได้ พ่อแม่ก็ไม่กล้าขวางเพราะเราเข้ามหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกมันมีอะไรอีกเยอะที่เราต้องเรียนรู้ การคบเพื่อนดีจะพาให้เราผ่านช่วงเวลาแบบนั้นไปได้ด้วยระบบดูแลกันและกัน ขวัญโชคดีที่มีเพื่อนกลุ่มนี้จริงๆ ใครออกนอกลู่นอกทาง จะไม่มีการอวยว่า เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครรู้ จะไม่ใช่เลย ใครออกนอกลู่นอกทางนิดหน่อย เจอเพื่อนต่อว่าแน่ๆ ว่าไปทำอะไรมา ไหนบอกจะกลับกี่โมง ไม่ได้นะ ฟ้องแม่ ขวัญรู้สึกว่าการที่เราดูแลตัวเองมาได้เรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เพื่อนมีส่วนสำคัญในชีวิตมาก

ไม่ต้องบาลานซ์ทุกความสัมพันธ์

ขวัญไม่สามารถบาลานซ์ทุกความสัมพันธ์ได้ และพูดเลยว่านี่คือเรื่องธรรมชาติ ในวันที่เราอายุ 20 กว่า กำลังเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ทุกคนน่าจะเป็นคล้ายๆ กัน คือเราทำงานหนักในช่วงต้นของชีวิต จนพบว่าเราละเลยพ่อแม่ ละเลยครอบครัวของเรา อยากอยู่กับที่ทำงาน แล้วว่างๆ จะอยู่กับเพื่อน ครอบครัวมักจะเป็นสิ่งสุดท้าย ถ้าถามว่ามันบาลานซ์ไหม ไม่บาลานซ์ แต่เกิดขึ้นกับทุกคนไหม ขวัญว่าเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก ขวัญก็เป็นหนึ่งในนั้นแล้วคิดว่าเป็นเรื่องราวธรรมชาติ แต่วันเวลาจะสอนให้เราตระหนักถึงความสัมพันธ์ด้วยตัวของมันเองว่าที่ผ่านมา เราไปให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่างมากเกินไป มีบางอย่างที่สำคัญในชีวิตจริงๆ แต่เรามองข้ามไป ขวัญรู้สึกว่านี่คือบทเรียนของชีวิตที่ทุกคนต้องเรียนรู้เอง แล้ววันนี้ที่ขวัญอายุจะ 50 แล้ว ได้สูญเสียคุณพ่อคุณแม่ไปในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้บอกตัวเองว่า บางทีเราใช้เวลานานมากกว่าที่เราคิดในการที่จะเรียนรู้ความสำคัญของอะไรบางอย่าง ถ้าถามว่าจำเป็นที่ต้องบาลานซ์ทุกความสัมพันธ์ไหม ขวัญมองว่าชีวิตคือการเรียนรู้มากกว่า แล้วทุกคนเรียนรู้ไม่เหมือนกัน อย่าไปคาดหวังอะไรกับชีวิตมาก ถ้าพบความผิดพลาดเราก็จะเรียนรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่พลาดไป เราก็ควรที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คิด สิ่งที่เราทำ ถ้าไม่อยากเจอปัญหาแบบเดิม เจ็บปวดในเรื่องเดิม

นางแบบ: สู่ขวัญ บูลกุล

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

เสื้อผ้า: Emporio Armani, Max Mara, Asava 

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

สถานที่: 137 Pillars Suites & Residences Bangkok Tel. 02 079 7000

About the author

+ posts
0%