ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าของนางเอกสาวขาไฟต์ บูม สุภาพร

ถ้าจะให้ลิสต์ชื่อผู้หญิงสักคนในวงการบันเทิงที่คู่ควรกับรางวัลสาวสตรอง 2,000++ someonestory.co ขอส่งชื่อบูม-สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง เข้าชิงเป็นอันดับต้นๆ เพราะถ้าใครเคยได้ยินหรือได้ฟังเรื่องของเธอมาบ้าง จะรู้ว่าบูมคือนางเอกสาวเลือดนักสู้อีกคนที่เหมาะสมทุกประการกับคำว่า “สาวแกร่ง” ชีวิตจริงของเธอพีคยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าหลายๆ เล่ม แต่ประเด็นที่แตกต่างคือแทนที่นางเอกของเรื่องจะขยันดราม่า น้ำตาท่วม เธอกลับลุกขึ้นสู้ ยิ้มให้กับความทุกข์ ก้าวข้ามปัญหาไปอย่างเข้มแข็งและเฮฮา คงเพราะความกตัญญู ทัศนคติที่บวกสุดๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่เคยดูถูกตัวเอง ทำให้บูมมีกำลังใจมากพอที่จะก้าวผ่านเรื่องหนักๆ มาจนถึงวันนี้ได้ ใครกำลังรู้สึกว่าดวงตก ชะตาไม่เข้าข้าง ฟ้าดินไม่เป็นใจ ลองอ่านเรื่องของเธอดู แล้วจะรู้ว่ายังมีคนที่เจอศึกหนักกว่าอีกเยอะ ที่สำคัญเขาผ่านมันมาได้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง!

ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

ตอนเด็กๆ บูมมีครอบครัวอบอุ่น มีคุณพ่อคุณแม่ พี่ชาย บูม อยู่ด้วยกัน คุณพ่อมีธุรกิจของตัวเองที่ทำกับคุณแม่ด้วย ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบ แต่วันหนึ่งบูมก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขาต้องเลิกราหย่าร้างกันไป เราก็เริ่มมีจุดเปลี่ยนละ บังเอิญว่าบ้านหลังที่เคยอยู่ด้วยกันซ่อมแซมอยู่พอดี พอเลิกกันตอนนั้น ไม่มีใครทำต่อ บูมเลยต้องตะลอน เปิดเทอมไปบ้านหลังหนึ่ง ปิดเทอมไปบ้านอีกหลังหนึ่ง ย้ายไปอยู่กับครอบครัวคนอื่น สมัยก่อนไม่รู้จักให้เลยนะคะ เพราะบูมมีพี่เลี้ยงส่วนตัว มีคนขับรถของบูม ของพี่ชายกับบูมจะแยกกัน อยากได้อะไรคือได้ นอนก็คือกางมุ้ง ยุงกัดลูกไม่ได้ แม่จะแบบว่าลูกฉันจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด สมัยก่อนพูดตรงๆ ว่านิสัยไม่ดีเลย เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองมาก จะเอาอะไรต้องเดี๋ยวนี้ รอไม่เป็น เย็นไม่ได้ สมมติว่าคุณแม่ซื้อเครื่องเกมเพลย์มา ต้องซื้อ 2 เครื่อง ให้บูมกับพี่ชายคนละเครื่อง ไม่มีอะไรที่ต้องแชริ่งกันเลย แล้วพอทุกอย่างเปลี่ยน กลายเป็นเราต้องย้ายไปบ้านคนอื่น ต้องมาแชริ่งแม้กระทั่งห้องนอนที่เราต้องไปนอนกับคนอื่น หรือห้องน้ำ ก็เลยทำให้ค่อยๆ หล่อหลอมเราว่า เฮ้ย เราต้องแชร์นะ ไม่ใช่ว่าเราอยากกินข้าวแล้วตะโกนให้พี่เลี้ยงทำให้เดี๋ยวนี้ เราต้องรอ บ้านนี้เขากินข้าว 1 ทุ่มนะ เดี๋ยวพี่คนนี้ๆ มากินนะ พอปิดเทอมเราก็ย้ายไปอยู่อีกครอบครัวหนึ่ง ที่พักผ่อนเราก็เปลี่ยนแปลงไปอีก เลยค่อยๆ ทำให้ปรับตัวเองมาเรื่อยๆ และไม่ยึดติดกับสิ่งที่เราเคยมีเคยได้ แล้ววันหนึ่งมันก็ตกผลึกว่าขอบคุณมากเลยกับเหตุการณ์ที่ดัดนิสัยไม่ดีของคนๆ หนึ่ง

หนี้สินและการสู้เพื่อแม่

บูมรู้อยู่แล้วว่าที่บ้านก็มีหนี้สิน รู้ว่าทำอสังหาริมทรัพย์ มีการกู้เกิดขึ้น จำนวนก็เลยทะยานขึ้นไปด้วยดอกเบี้ยเอย เบิกโอดีมาใช้ แต่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยต้องไปสัมผัส ไม่เคยต้องไปรับผิดชอบ เราแค่รู้ว่ามี แต่เขาก็ไม่เคยทำให้รู้สึกว่าบ้านเราเป็นหนี้นะ บูมไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ อยากไปเรียนเมืองนอก อยากได้คอมพิวเตอร์ใหม่ อยากไปซัมเมอร์กับเพื่อน บูมไม่เคยไม่ได้ตรงนั้น เลยไม่ได้เป็นผลที่ทำให้มากระทบกับบูมว่าเราจะต้องรับผิดชอบหรือประหยัด แต่วันที่เราต้องออกมาดูแลตัวเราเองกับแม่ตรงนั้นล่ะคือภาระสำหรับตัวเราแล้ว เพราะว่าคุณแม่เองก็มีหนี้สินที่จะต้องเคลียร์ ไม่งั้นจะล้มละลายอีก ซึ่งก่อนหน้านี้แม่เคยมีทุกอย่าง แม่บูมเป็นลูกรัฐมนตรี ทำงานการไฟฟ้าของต่างจังหวัด แต่พอเวลาแตกแยกกับครอบครัว กับคุณพ่อ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งพอเราเห็นจุดที่เขาเคยอยู่ แล้วเหมือนค่อยๆ เดินลงบันไดไป จากที่แม่เคยมีลูกน้อง มีคนมากมาย จนต้องไปขายน้ำสำรองในตลาด เป็นตัวแทนขายเหรียญควอนตัม เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเห็น แม่ขายทุกอย่างเพื่อให้มีเงิน เขาก็ไม่ได้บอกเรานะว่าไม่มีหรืออะไรยังไง แต่เราก็ไม่ได้ซัฟเฟอร์อะไร เพราะมันก็คือสิ่งที่เขาทำ บูมยังเคยบอกว่าต้องขายอีกนะ มันอร่อยมาก แต่ยังไงเราก็อยากช่วยเขา บูมก็ให้เงินเขาตลอดนะ ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำงานแต่ไม่เคยบอกพ่อ เพราะตอนนั้นบูมอยู่กับพ่อ จนวันหนึ่งบูมตัดสินใจว่าฉันจะทำให้คุณภาพชีวิตของแม่ดีขึ้น แม่ต้องมีบ้านอยู่ ต้องมีความสุข ต้องได้ในสิ่งที่อยากจะทำ แล้วเราก็ทำมันค่ะ พอบูมออกมาจากที่บ้านเพื่อมาอยู่กับแม่ บูมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติใดๆ เพราะก็หาเงินเองมาโดยตลอดอยู่แล้ว 

ความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด

บูมรู้สึกว่าการเป็นแม่ลูกหรือพ่อลูกไม่มีทางตัดกันขาด แฟนยังเปลี่ยนได้ เราขอเปลี่ยนแม่ได้ไหม ก็เป็นไปไม่ได้ การที่เขาให้ชีวิตเรา มันมีค่ามากกว่าที่เขาซื้อของหรือให้อะไรเราเยอะแยะมากมาย ทั้งชีวิตทำยังไงบูมก็ตอบแทนเขาไม่หมด มันคือหน้าที่ที่ติดมาตั้งแต่เราเกิด แม่บูมเป็น SLE เกล็ดเม็ดเลือดต่ำ ปกติคนทั่วไปจะมีภูมิคุ้มกันของตัวเอง แต่แม่บูมแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง เวลาโดนชนก็จะเขียว สมมติว่าแค่ถือกระเป๋าแล้วคาดแขน แขนตรงนั้นจะเขียวไปหมดเลยนะ ไม่ได้เขียวอย่างเดียว แต่มันม่วงแบบห้อเลือดค่ะ ไปนวดมาตั้งแต่ไหล่จนถึงมือ ก็ม่วงทั้งแขนเลย ขาก็จะม่วงเป็นจ้ำๆ ทั้งตัว เกล็ดเม็ดเลือดแม่บูมอยู่ที่หลักพันหลักหมื่นซึ่งน้อยมากๆ ค่ะ อาการแม่เป็นมาตั้งแต่บูมเกิดค่ะ มาพร้อมบูม (หัวเราะ) แม่เคยเล่าให้ฟังว่า หมอบอกว่าไม่แม่ก็ลูกล่ะที่เป็น เพราะภาวะคนที่เป็น SLE จะตั้งครรภ์ไม่ได้ มันเสี่ยงมาก แต่ปรากฏว่ารอดทั้งแม่ทั้งลูก ถือว่ามีบุญ แต่บูมไม่ได้ทรีตเขาเหมือนเป็นคนป่วยค่ะ เราดูแลเขาเหมือนเป็นคนปกติทั่วไป แล้วบูมจะให้ในสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากกว่า เขาอยากทำอะไรแล้วมีความสุข ก็ให้เขาทำ คืออะไรก็ไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ จากสิ่งที่บูมเคยเจอมา บูมเลยรู้สึกว่ามันคือความสุขโค้งสุดท้ายของชีวิต แม่บูมอาจจะไม่ได้อยู่กับบูมอีก 40-50 ปีหรอก มันคือสัจธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วอะไรที่ทำให้เขาได้ตอนนี้ ก็มีแค่ความสุข ถามว่าจะเอาเลือดเราออกทั้งหมดเพื่อจะไปให้แม่เลยได้ไหมเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงก็เป็นไปไม่ได้ หรือเราจะไปบังคับเขาตื่นเช้าตี 5 ทุกวัน มาวิ่งด้วยกันเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เขาอาจจะไม่ไหวก็ได้ อย่างเดียวเลยที่บูมว่ามันทำให้เขาแข็งแรงขึ้นในทุกๆ วันคือ การทำให้เขามีความสุขและมีรอยยิ้ม

เคลียร์หนี้ให้แม่ บทพิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง

พอออกมาจากบ้านโน้น บูมก็ไม่มีบ้านอยู่ ไปอยู่บ้านเพื่อน ไฟแนนซ์มากดออดทวงรถที่เคยขับ เพราะมันเป็นชื่อของบริษัทของที่บ้านฝั่งที่ออกมา บูมไม่มีอะไรเลย แล้วยังมาพร้อมกับแม่ที่มีหนี้ล้มละลาย แต่ที่ยังมีวันนี้ได้ เพราะว่าเราให้กำลังใจกันและกัน ที่สำคัญบูมตั้งเป้าว่าเราต้องทำได้ ส่วนหนึ่งก็มีสวดภาวนาด้วย (หัวเราะ) แต่ก็ต้องทำด้วยอีกส่วน ตอนนั้นบูมปลดหนี้แม่ที่ถูกฟ้องล้มละลายเป็นอย่างแรก โดยการทำทุกอย่างที่เราจะทำได้ เก็บทุกอย่างที่เราจะเก็บได้ ไม่ได้ขายของเก่าเลยนะคะ มีแต่ขายทุกกองทุนที่บูมมีซึ่งครบปีพอดี ขายแล้วก็มารวบรวมกับเงินเก็บ โชคดีว่าตั้งแต่ที่บูมทำงานมา บูมพอมีเงินบ้าง เพราะเราไม่ฟุ้งเฟ้อ จากนั้นก็ต้องซื้อบ้าน ซื้อรถเลย มันเป็นไฟต์บังคับ ซึ่งตอนนี้เรื่องหนี้ล้มละลายเรียบร้อยแล้วค่ะ เป็นอย่างแรกเลย แล้วตอนนี้เรื่องรถก็หมดแล้ว เหลือแค่เรื่องบ้าน ซึ่งการออกมา มันทำให้ได้รู้ศักยภาพตัวเองว่าเราก็ทำได้ เราก็ไม่คิดหรอกว่าจะกู้แบงค์ซื้อบ้านพร้อมกับที่ต้องซื้อรถ ในเวลาเดียวกันก็ต้องดูแลแม่ด้วย ต้องจุนเจือตัวเองด้วย แต่เราก็ผ่านมันมาได้ มันเลยทำให้แบบ เออ ฉันยังไม่ตายว่ะ (หัวเราะ)  อีกอย่างการที่เห็นคนที่มีพระคุณ เห็นคนที่เรารักเขามีความสุข ก็ทำให้ตัวเรามีความสุขนะเวลาเรามองไป ทำให้เรามีแรง อีกอย่างพอมีหนี้มันก็มีแรงเองค่ะ (หัวเราะ) จะมีแรงจากที่ไหนไม่รู้ว่าฉันจะต้องทำมันให้ได้ บูมจะเป็นคนตั้งเป้า ปีก่อนบูมก็บอกกับตัวเองว่า วันเกิดแม่ อยากซื้อรถคันเล็กให้แม่ เพราะแม่ผอมมากและตัวเล็กประมาณเท่าบูมล่ะ แต่เขาผอมลง เขาขับคันใหญ่ พวงมาลัยก็หนัก อยากจะซื้อคันเบาๆ ให้ขับในเมือง เพราะเขาชอบขับรถ ขอมีตังค์แบบซื้อรถเงินสดเถอะ พอบอกกับตัวเองอย่างนั้น แล้วมันก็จะมีค่ะ เพราะว่าเราตั้งเป้าเอาไว้ 

ก้าวผ่านความหดหู่และอาการแพนิค

บูมยอมรับเลยว่าก็มีช่วงที่ไม่สบายเหมือนกัน เครียดเรื่องที่บ้านด้วย คดี ศาล เรื่องแม่ด้วย ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาที่บูมคนเดียว และบูมไม่ได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกไปให้ใคร บูมไม่ใช่คนที่ร้องไห้จนทำอะไรไม่ได้หรือเราก็ไม่สามารถร้องไห้ได้ อย่างตอนกลางคืนบูมอยากจะร้องไห้ก็ทำไม่ได้ เพราะก็จะคิดว่าตื่นมาตอนเช้าต้องถ่ายรายการ แล้วเดี๋ยวตาบวมไม่สวย ก็เลยไม่ร้อง พอเวลาจะร้องไห้ ก็จะเตือนตัวเองว่าร้องไม่ได้ๆ จนวันหนึ่งก็ไม่สบาย หัวใจเต้นเร็ว เป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกมันสั่นๆ เหลือเกิน กระวนกระวาย ขับรถถอยหลังทีก็รู้สึกว่าเครียดมาก ความมั่นใจหาย เลยตัดสินใจไปหาคุณหมอ ปรากฏว่าเป็นแพนิค บูมอยากจะบอกกับทุกคนว่าถ้าเรารู้ว่าป่วย ไม่สบาย อย่าอายที่จะไปหาหมอ เพราะว่าสุดท้ายแล้วเราต้องรักตัวเอง ทุกๆ คนนั้นมีภาวะความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วมันมีแรงกระตุ้นหลายๆ อย่างที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการผิดปกติในร่างกาย เช่น เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ยาเสพติด แอลกอฮอล์ การใช้ชีวิตเร่งรีบ หรือว่ามีข้อกำหนดในการเดินทาง รถติด คนแออัด เป็นความเครียดเล็กๆ ที่สะสมทุกๆ วัน แล้วพอเรามีความเครียดใหญ่ก็เลยยิ่งทำให้เรามีความไม่สบายทางกายภาพของเราได้ สารเคมีในสมองเราก็หลั่งผิดปกติ การพักผ่อนเราไม่เพียงพอ บูมนอนแค่วันหนึ่ง 4-5 ชั่วโมง กว่าจะเลิกกอง 4 ทุ่ม กลับถึงบ้าน 5 ทุ่ม เที่ยงคืน อาบน้ำ ตี 5 ตื่นไปถ่ายรายการ ยาวอีกทั้งวัน เลยยิ่งทำให้ร่างกายเราไม่พร้อม ดังนั้นบูมก็เลยพบแพทย์เพราะเป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องหันกลับมาดูแลตัวเอง ออกกำลังกายตามหมอสั่งว่าต้องทำยังไง สุดท้ายมันก็หายไปถ้าเราชนะใจเราเอง ทุกวันนี้บูมไม่ต้องกินยาแก้ตื่นเต้นแล้ว หายสนิทหรือเปล่าไม่รู้ แต่ยังออกกำลังกายตามที่หมอบอก เช่น heart rate ต้องประมาณนี้ในทุกๆ วันนะ แล้วคิดไว้เสมอว่าสิ่งที่เป็นมันไม่ได้ทำให้เราตาย แค่ทำให้เรานอยด์ อันนี้คือหมอบอกนะคะ หมอบอกคุณบูมไม่ต้องกลัว มันไม่ทำให้เราตายหรอก แค่เป็นลมเดี๋ยวก็ตื่น หนูก็ อ๋อ ได้ค่ะ โอเค เราก็ทำตามหมอสั่ง และทำอะไรที่มันดีต่อสุขภาพของเรา

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าความสุข 

บางวันบูมมีเรื่องที่อยู่ข้างหลังบ้าน ไม่ว่าจะขึ้นศาล ปัญหาโน่นนี่นั่น แต่ตอนเช้าทุกคนจะเห็นบูมบนหน้าจอคือยิ้ม ไม่มีร้องไห้เสียใจ บางเรื่องมันหนักมากๆ แต่บูมรู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะ มันจะไม่อยู่กับเรา 20-30 ปีหรอก จะคิดอย่างนี้เสมอ คนที่เขาหนักกว่าเรา คนที่เจอเยอะกว่าเรายังมีอีก วันนี้เรามองตัวเราเอง ส่องกระจกดูเลย มีบ้านแล้วนี่ มีรถแล้วนี่ บูมได้ขับรถไปทำงานนะ เรายังมีอะไรที่ดีอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราพอใจได้แล้ว อย่าไปทะเยอทะยานมากไปกว่านั้น อีกเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยคือ เราเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรง่ายๆ อย่างวันนี้มาทำงานก็มีความสุข บูมไม่ได้เป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อย บูมว่าการที่คิดเล็กคิดน้อยมันจะทำให้เราเศร้า กลายเป็นความเครียด ซึ่งบางครั้งก็เป็นข้อเสียที่บูมพูดไปแล้วไม่ค่อยคิดน่ะ แต่เราก็พยายามปรับปรุง มองหาความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างวันนี้มาถ่าย someonestory.co ออกไปรถติดแน่เลย แต่อย่างน้อยก็ได้มาที่โรงแรมนี้เลยนะ จะมีกี่ครั้งหรือกี่วันที่จะมีโอกาสมาโรงแรมนี้ ได้สั่งพิซซ่าหน้าชีสมากิน ได้แต่งตัวสวยๆ พี่ ๆ ชมบูมว่าสวยจังเลย แต่งหน้าดีจังเลย ก็มีความสุขแล้ว ไม่ได้คิดมากอะไร แล้วแม่บูมก็เป็นคนคิดบวกค่ะ ทำให้เราได้รับการปลูกฝังให้คิดบวก มีความสุข บูมว่ามันเป็นสิ่งสำคัญมากเลย ยกตัวอย่าง เวลาที่เราขับไป รถติดมาก เจอไฟแดง เราอาจจะคิดว่าจะต้องผ่านไฟแดงนี้ไปให้ได้ แต่แม่บูมไปได้ช้าๆ พอได้เป็นคันแรกของไฟแดง เขา เย้! เป็นคันแรกของไฟแดง มันคือความสุขของเขา หรือติดรถไฟแถวเพชรบุรีตัดใหม่บ้านบูม หรือรถไฟที่ไหนก็ตาม แม่จะบอกว่าเจอรถไฟแล้วโชคดี เวลาบูมท้อ เขาก็จะให้กำลังใจบูมว่า ดูสิลูก อย่างน้อยๆ ฉันสวยนะ ฉันได้ออกทีวีนะ ฉันมีรถขับนะ ฉันมีทีวีจอสีให้ดูนะ ฉันยังมีอะไรที่ดีอยู่ ให้มองสิ่งเล็กๆ อย่างนี้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเรา อย่าไปจมกับอะไรเลย

สู้เท่ากับชนะ

เป็นเรื่องปกตินะคะที่ทุกคนก็มีความท้อ บูมเองก็มีความรู้สึกนี้ในบางวันค่ะ แต่ถ้าเรามีชอยส์ในชีวิตชอยส์เดียว คือเราต้องเข้มแข็งและต้องเดินหน้าต่อ เราต้องเลือกชอยส์นั้นค่ะ บูมมีแค่ชอยส์เดียวเลยนะตอนที่บูมจะต้องเลือกว่าบูมจะทำยังไงกับชีวิต ที่บูมเล่าไปอาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวที่หลายๆ คนรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตบูม มันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่บูมสามารถพูดและแชร์ได้ แต่ยังมีอะไรอีกเยอะแยะมากมายที่บูมก็พูดตรงนี้ไม่ได้ มันอาจจะกระทบความรู้สึกของใครหลายๆ คน หรือกระทบต่อความรู้สึกของตัวบูมเองด้วย แต่สิ่งที่บูมอยากจะบอกไปคือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันหนึ่งก็จะผ่านไป ท้อได้เป็นเรื่องปกติ เราเป็นมนุษย์ค่ะ เราสามารถรู้สึกต่างๆ ตามที่ควรจะรู้สึกได้ แต่อย่าไปจมปลักกับมัน เราจะเสียใจขนาดไหน ไม่เป็นอันกินอันนอน แต่วันหนึ่งวันใหม่ลุกขึ้นมา เราให้เวลากับตัวเองว่าเราจะอยู่กับมันแค่ 1 หรือ 2 อาทิตย์นะ สุดท้ายแล้วเราต้องลุกขึ้นมา เพราะคนที่อยู่ต่อคือตัวเรา เราจะอยู่บนโลกอันโหดร้ายนี้ได้อย่างไร จะทำยังไงให้เราอยู่กับมันได้ เราเองต่างหากที่ต้องเป็นคนปรับตัว โลกไม่ได้ปรับตัวเข้าหาเรา สู้ต่อไปค่ะ บูมว่าคนสู้น่ะ ยังไงสักวันหนึ่งมันก็ต้องชนะ แค่เราคิดจะสู้ เราก็ชนะแล้วเพราะอย่างน้อย เราก็ได้ชนะใจตัวเองแล้วค่ะ

นางแบบ: สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง 

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

เสื้อผ้า: Emporio Armani, Vickteerut 

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

สถานที่: Pullman Bangkok King Power โทร.02-6809999

About the author

+ posts
0%