โอ โอฬาร ศิลปินและนักแต่งเพลงคุณภาพ ที่ไม่เคยหยุด ‘ความพยายาม’

ถึงแม้เวลานี้ชื่อของ โอ-โอฬาร ชูใจ หรือ แว่นใหญ่ ชื่อที่หลายคนคุ้นกว่าจะติดลิสต์อันดับต้นๆ ของนักแต่งเพลง นักร้อง นักดนตรี ที่น่าจับตามอง แต่ตัวเขาเองยังกลับมองว่าตัวเองเป็น Under Dog  ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นในทุกๆ เรื่อง และความรู้สึกที่มีต่อตัวเองแบบนี้แหละทำให้เขาไม่หยุดพยายาม ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว และดูถ่อมตัวมากในเวลาเดียวกัน

เมื่อปีที่แล้ว แว่นใหญ่รีสตาร์ทตัวเองอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยว กับค่าย Holyfox ส่งเพลง “เจ็บจนพอ” ออกมากระแทกใจแฟนเพลงจนไต่ระดับยอดวิวไปกว่าร้อยล้านวิว การก้าวออกมาจากเส้นเดิมของชีวิตครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นฝีมือของแว่นใหญ่ชัดมากขึ้น เขาฉายแววการเป็นนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลงที่มีคุณภาพ พร้อมส่งผลงานดีๆ ออกมาให้เราได้ฟังกัน ทุกเพลงของแว่นใหญ่ถูกเล่าออกมาจากเรื่องที่เขารู้สึก และบางเพลงอย่าง “ลืมไป” ที่แว่นใหญ่ฟีเจอริ่งกับปู่จ๋าน ลองไมค์  ก็ทำให้แฟนเพลงบางคนฉุกคิด กลับมาให้คุณค่ากับคนที่รักและตัวเองมากขึ้น

 เขาบอกว่านี่แหละโบนัสที่แท้จริงสำหรับคนทำเพลง มันมีค่ามากกว่าชื่อเสียง เงินทอง

จุดเริ่มต้น ดนตรี ความรัก

“ผมเริ่มสนใจดนตรีมาตั้งแต่ช่วงประถม มัธยม ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบ แต่ถ้าใครชวนเล่นดนตรี ผมจะยินดีร่วมแจมเสมอ รู้สึกสนุกดีและเหมือนกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง คิดไม่ออกว่าเราต้องการอะไร แต่มีความสุขเสมอเวลาได้ทำสิ่งนี้ครับ

ช่วงม.1 ผมเริ่มเล่นกีตาร์จนทำวงไปประกวดกัน ไม่ได้คาดหวังจะได้อะไรเลย เพราะระหว่างทำเราแฮปปี้ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ส่งเพลงที่ทำกับเพื่อนไปรายการวิทยุอย่าง Fat Radio ช่วง Bedroom Studio ครั้งแรกที่เขาเปิดเพลงของพวกเรา ผมดีใจมาก ตอนนั้นเรื่องนี้เป็นความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งในชีวิตเลย มีหลายเพลงที่เราส่งไปแล้วได้ฟีดแบ็กกลับมาว่าให้ไปออดิชั่น ในขณะเดียวกันชีวิตก็เดินทางมาถึงช่วงรอยต่อของการตัดสินใจไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา และที่บ้านก็อยากให้ผมไป ซึ่งพอเรามองเรื่องดนตรีที่ทำอยู่ ความฝันมันยังดูไกล ไม่น่าจะเป็นอาชีพได้ ผมเลยตัดสินใจไปเรียนต่อครับ”

เขยิบเข้าใกล้ความฝัน

“พอไปเรียนต่อที่นั่น กลายเป็นว่าผมได้เข้าใกล้ความฝันมากขึ้นครับ เพราะมีโอกาสทั้งเรียนและทำงาน เพื่อนๆ ก็คอยบอกว่าร้านไหนมีดนตรี เขาเปิดแข่งประกวดร้องเพลงที่ไหน แล้วก็สมัครให้ด้วย ตอนแรกผมปฏิเสธ เพราะอายคนครับ (หัวเราะ) แต่พอถึงวันประกวด ผมก็ตัดสินใจไปประกวดที่ร้านชื่อเครื่องเทศ แล้วปรากฏว่าชนะ เขาก็เลยชวนให้มาร้องเพลงสลับวันว่างกับคนอื่น เราเริ่มจากตรงนั้น ซึ่งตอนอยู่เมืองไทย ผมไม่เคยทำเป็นอาชีพ แต่นี่คือทำโดยที่มีรายได้ มีความคาดหวัง มีมาตรฐาน เราไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้สมัยที่อยู่อเมริกา เช่น ต้องทำอะไรบ้าง ควรจะเตรียมตัวยังไง ร้องไม่ดียังไง ผมโดนเทรนโดยรุ่นพี่ แล้วก็โดนดุ ทำให้เราเรียนรู้อะไรมากขึ้นจากการเล่นดนตรี

นอกจากนี้ผมยังได้คลุกคลีกับเพื่อนที่เขามาเรียนดนตรีโดยเฉพาะด้วยครับ ที่แอลเอจะมีสถาบันดนตรีสำหรับคนที่มาเรียนดนตรี หลายๆ คนจากประเทศไทยก็จะมาอยู่ที่นี่ และมาเล่นดนตรีที่ร้านนี้ ผมเองก็ได้ความรู้จากเพื่อนๆ เหล่านี้ ได้วิชาจากเขา อีกอย่างเวลาศิลปินดังๆ มาที่นี่ ผมก็มีโอกาสได้คลุกคลี ได้เจอเขา เพราะสังคมมันแคบกว่าไทย ก็เลยเป็นจุดที่เราขยับตามความฝันต่อไป โดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะมาเจอ”

เงาเสียง ป๊อด โมเดิร์นด็อก

“มีช่วงหนึ่งที่พี่บอย โกสิยพงษ์ ทำคอนเสิร์ต BOYdPOD ที่อเมริกา เขาใช้ทีมงานที่เป็นฝรั่งล้วนๆ แต่ยังขาดคนที่จะมาซ้อมร้องเพลงของพี่ป๊อด ผมเลยถูกชวนไปทำตรงนี้ เพราะร้องเพลงพี่ป๊อดได้หลายเพลง ซ้อมอยู่ 1-2 อาทิตย์ จนวันที่พี่ป๊อดบินมาซ้อมเอง พวกเขาถึงรู้ว่าผมไม่ใช่พี่ป๊อด เขาถามผมว่า นี่ยูไม่ใช่พี่ป๊อดเหรอ ฉันนึกว่าเธอเป็นพี่ป๊อดมาตลอดนะ (หัวเราะ)”

เหตุผลเดียวที่กลับเมืองไทย

“ผมใช้ชีวิตอยู่อเมริกามาพักใหญ่ เรียนจบ มีงานทำ รู้สึกลงตัวแล้ว เลยไม่ได้คิดว่าจะกลับมาเมืองไทยอีก ส่วนความฝันของการเป็นศิลปินก็ดูห่างไกล ผมเคยทำเดโม่ส่งผ่านตู่ (ภพธร สุนทรญาณกิจ) ไปให้พี่บอย แต่ก็ยังไม่ได้มีฟีดแบ็กที่ดีอะไร อีกอย่างถ้ากลับมาเมืองไทย เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปทำงานอะไร ถึงจะทำให้เรามีรายได้ที่ซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายทั้งหมดในชีวิตเราได้นอกจากเราจะได้เป็นศิลปิน ได้ทำตามความฝัน ผมถึงจะรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง จนวันหนึ่งพี่บอยก็ชวนผมกลับมาทำเพลงด้วยกัน ผมเลยกลับมาครับ เพราะนั่นคือความฝัน ผมไม่รู้หรอกว่าจะอดอยากหรือเปล่า แต่ว่ามันก็คุ้มเสี่ยง เพราะสำหรับผมมันคือโอกาส”

ในวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี กับการเป็นศิลปินหน้าใหม่

“ช่วงที่เป็น Room39 มันมีทั้งจังหวะที่ขึ้นและลง ระหว่างนั้นผมเรียนรู้ว่า เราต้องสร้างงานเองให้ได้ ต้องเขียนเพลงเองให้ได้ อย่างผม ทักษะการเล่นกีตาร์ก็ไม่เก่ง ร้องเพลงก็ไม่ได้ดี หน้าตาก็ไม่ดี เฮ้ย ไม่มีอะไรดีเลย เลยคิดว่า เราควรจะต้องหัดทำอะไรที่พอจะมีต้นทุนบ้าง เลยลองเขียนเพลงครับ แล้วก็เรียนรู้ว่าการเขียนเพลงไม่ง่ายเลย แต่ต้องเขียนให้ได้ เพราะตอนนั้นวงก็กระแสลงมาเรื่อยๆ แล้ว ความจำเป็นบังคับเราว่า ถ้าเราเขียนเพลงเองไม่ได้ เราอาจต้องเลิกอาชีพนี้ไปเลย  เพราะไม่มีใครจ้างเราแล้ว แรงผลักดันจริงๆ อยู่กับความจำเป็นในชีวิตมากกว่า มีคนอยู่กับเราเป็น 10 คน บางคนมีลูก มีครอบครัว ตอนนั้นเลยคิดว่าต้องทำยังไงให้ไปต่อได้ หน้าที่ของเราคือพยายาม ความจำเป็นจึงเป็นตัวผลักดันครับ ตอนนั้นก็ให้พี่บอยช่วยเขียน ซึ่งผมก็เรียนรู้ว่าเต็มที่ก็ได้ 2 เพลง แล้วเราจะขยำทิ้งไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราขอให้เขาช่วยทำ แต่ถ้าเป็นงานของเราเอง  เราเขียนแล้วจะขยำทิ้งอีกกี่ร้อยชิ้นก็เป็นเรื่องของเรา เลยเรียนรู้และฝึกเขียน จนกลายเป็นเพลงความจริง, อย่าให้ฉันคิด, เป็นทุกอย่าง ออกมา ทำให้วงมีจุดที่เดินต่อได้ จนมาถึงวันที่เราไม่มีวงแล้ว ความจำเป็นของผมตอนนี้ก็คือทำยังไงถึงจะไปต่อได้ โดยที่เรามีต้นทุนเดียวคือการเขียนเพลง การทำเพลง เราก็ใช้ตรงนั้นมาสร้างผลงาน โดยผมเซ็ตความคาดหวังไว้ต่ำมาก ประหนึ่งว่าผมไม่เคยมีชื่อเสียง ไม่เคยมีตัวตนในสายงานนี้เลย ผมคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินหน้าใหม่ แต่ว่าทุ่มเทกับทุกๆ อย่างที่ทำครับ”

ไม่มีพรสวรรค์แต่เข้าใจความรู้สึก

“ผมไม่ได้มีพรสวรรค์ในการเขียนเพลงหรอกครับ เพราะคนที่มีอะไรแบบนั้นน่าจะเป็นคนที่เขียนอะไรก็ได้ แต่ผมเขียนเพลงจากความรู้สึก คือผมอาจเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกบางอย่าง และคิดว่าน่าจะมาจากการที่ผมเป็นคนที่รู้สึกอะไรง่าย เลยนำความรู้สึกเหล่านั้นมาถ่ายทอดได้ อย่างเพลง “บอกตัวเอง” ผมแต่งก่อนที่วงจะแยกกันด้วยซ้ำไป คำว่าบอกตัวเอง คือคำพูดของคุณแม่ครับ ผมกับแม่จะสนิทกันมาก ช่วงที่ผมมีปัญหาเรื่องความรักก็จะปรึกษาเขา วันนั้นผมขับรถอยู่แล้วคุณแม่ก็โทรมาถามว่า เป็นไง ไม่ไหวใช่ไหม ผมก็บอกว่าไม่ค่อยดีเลย แม่ก็บอกว่า นี่อยู่กันมาไม่กี่ปีเอง แค่นี้ก็ไม่ไหวเหรอ แล้วแม่ก็ยกตัวอย่างชีวิตตัวเองกับคุณพ่อว่าท่านอยู่ด้วยกันมา 30-40 ปี พอถึงวันที่แยกทางกัน ไม่มีวันไหนที่แม่ไม่นึกถึง แต่ทุกๆ วันที่ตื่นก็ต้องบอกตัวเองว่าต้องอยู่ให้ได้ บอกตัวเองซ้ำๆ แบบนี้ทุกวัน ผมรู้สึกว่าความทุกข์ของผมมันเล็กลงไปเลย เมื่อเทียบกับความทุกข์ของแม่ และรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนได้ยินคำพูดนี้ อยากให้เขาได้เอาไปใช้กัน ก็เลยเขียนเป็นเพลงบอกตัวเอง”

แต่งเพลงตามความจริงของโลก

“เพลงที่ผมเขียนส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเศร้าครับ (หัวเราะ) ผมเคยเขียนเพลงรักนะครับ แต่มันจื๊ดจืด เลยเชื่อว่ามันเป็นวิธีการมองโลกของเรา ซึ่งผมเองเป็นคนมองโลกเทาๆ ไม่ได้สีสันสดใสหรือดำมืดเสียทีเดียว แต่มองเป็นสีจริงๆ ของมัน ดังนั้นในเพลงเศร้าของผม ถ้าฟังแล้วจะรู้สึกเศร้า ทุกข์ เสียใจ แต่ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด ยังเห็นความจริงว่าโลกก็เป็นอย่างนี้ มองแบบที่รู้ว่าโลกไม่สมบูรณ์แบบ สมมติ เราไม่สมหวังในความรัก มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เราก็ไม่ได้มองว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว อย่างเพลง “เป็นทุกอย่าง” ตอนท้ายเพลงผมก็เขียนว่า ได้อยู่ตรงนี้ก็ดีแค่ไหน เป็นความจริงที่ผมมองว่า เราไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างที่เราต้องการ และรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วในความสัมพันธ์ หรืออย่างเพลง “ไปไม่ถึง” ที่ร้องกับบิ๊กแอส ในโปรเจ็กต์ JOOX Original Album “100×100 SEASON 2” ก็คือการไปไม่ถึงนั่นแหละครับ แต่แค่ได้รักกันครั้งหนึ่งก็ดีแค่ไหนแล้วนะ สำหรับผม ผมมองว่าความผิดหวัง ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่มันคือความจริง แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ความผิดหวัง เสียใจเหล่านั้นมีคุณค่าของมันเอง เมื่อมองย้อนกลับมาเราจะเห็นครับ”

ตายตาหลับ

“การที่ผมได้มีโอกาสทำเพลงร่วมกับศิลปินหลายๆ ท่าน มันเหมือนเป็นเกียรติในชีวิตครับ เวลาเราได้ฟีเจอริงกับศิลปินที่เราชื่นชอบ หรือว่าเป็นไอดอลของเรา ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน อย่างเพลง “บอกตัวเอง” ที่พี่โป่ง (หิน เหล็ก ไฟ) มาฟีเจอริงด้วย หรือ เพลง “เริ่มต้นใหม่” ที่พี่ปู พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ มาร้องด้วย สำหรับผมขอใช้คำว่าตายตาหลับ โอเค ชีวิตนี้ ไม่เสียดายแล้วเพราะเราได้ทำในสิ่งที่เราคิดว่า เราฝันมาตลอด การได้มีชื่อเราวางอยู่ข้างๆ ชื่อของพี่เขาเป็นอะไรที่สุดยอดมากครับ”

เมื่อเพลงทำงาน มันคือความยิ่งใหญ่ที่ประเมินค่าไม่ได้

“ผมไม่ได้มองหาความสุขจากการประสบความสำเร็จของเพลงที่ทำครับ เพราะความสุขเกิดขึ้นตอนที่เราได้ทำเพลง แล้วเมื่อเพลงออกไปสู่คนฟังแล้วคือจบ ส่วนเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเป็นโบนัสหรือหายเหนื่อยจริงๆ คือวันที่มีคนบอกว่าเพลงนี้ส่งผลอะไรดีๆ กับชีวิตเขาบ้าง บางครั้ง เพลงหลายๆ เพลง ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตใครบางคน แล้วมันเซฟเขาจากอะไร ในโมเมนต์ที่เขากำลังรู้สึกแย่ยังไง ช่วยให้เขารู้สึกดียังไง ผมรู้สึกว่า นี่แหละคือการที่เพลงมันทำงาน เหมือนเราให้ยาบำรุงอะไรสักอย่าง แล้วคนที่กินเข้าไป เขากลับมาบอกเราว่า ไขข้อผมดีขึ้นจริงๆ ผมวิ่งได้แล้วพี่ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีประโยชน์ แล้วผมก็ไม่ได้อยากแค่นำผลงานออกไป แล้วได้เงินกลับมา ผมหวังว่าสิ่งที่ผมทำจะมีประโยชน์กับใครสักคน ไม่ว่าจะเป็น 1 คนหรือไม่กี่คนก็ตาม อย่างตอนเพลง “ลืมไป” ที่ฟีเจอริงกับปู่จ๋าน ลองไมค์ ก็มีฟีดแบ็กกลับมาเยอะมาก เช่น บางคนบอกว่า พี่ครับฟังเพลงพี่แล้ว ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตบางอย่าง ให้ตัวเองได้มีโอกาสอยู่กับครอบครัวมากขึ้น บางคนบอกผมว่า ฟังเพลงนี้แล้วจองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านเลยครับ ตอนแรกตั้งใจจะรอก่อน แต่ถ้าผมรอแล้วมันจะช้าไปหรือเปล่า หรือบางคนก็เลือกที่จะย้ายกลับมาทำงานใกล้ครอบครัว มีเวลาให้กับคนที่รักมากขึ้น ซึ่งฟีดแบ็กเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดีล้วนๆ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ต แล้วมีคนเข้ามาบอกว่า พี่ ขอบคุณเพลงนี้มากเลย เพราะทำให้กลับมาอยู่กับแฟนมากขึ้น มีเวลาให้กับคนที่รักมากขึ้น นี่แหละครับที่ผมรู้สึกว่ามันคือความสำเร็จ มันคือความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้ มากกว่าเงินทองหรืออะไรทุกอย่างครับ”

นายแบบ: โอฬาร ชูใจ

สไตลิสต์: ศุภะกิจ หุนารักษ์

ช่างภาพ: อิทธิพล พนาสุภน

สัมภาษณ์: กิ่งสุรางค์ อนุภาษ

ติดตามเรื่องราวของ “SomeoneStoryco” เพิ่มเติมได้ที่

Web : http://someonestory.co

Facebook : https://www.facebook.com/SomeoneStory.co/

Instagram : https://www.instagram.com/someonestory.co/

Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCnm6Li8Brk1QCyb9lBHrMEA

Twitter : https://twitter.com/someonestoryco

About the author

+ posts
0%